อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ในโอกาสวันมาฆบูชา ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ วันเดียวกันกับวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรัก จึงถือเป็นโอกาสดี ที่ทุกคนจะใช้วันสำคัญนี้ร่วมกันแสดงพลังแห่งความรักและพลังแห่งการทำความดี โดยเริ่มจากตัวเองและครอบครัวเพื่อเรียกความสุขกลับคืนมา จากการรู้ตื่น พูดจาภาษาดอกไม้ ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ไพเราะ นุ่มนวล มีแต่ความจริง ไม่พูดปด พูจเท็จ หยาบคาย ตลอดจน ไม่พูดส่อเสียด ยุแหย่ ใช้ถ้อยคำด่าหรือคำหยาบโลน พูดกันด้วยความจริงใจ เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ ให้อภัย ซึ่งจะช่วยสร้างความสุข สร้างกำลังใจ ลดทอนการเป็นศัตรู ส่งมอบมิตรภาพ และความเมตตา ที่สำคัญช่วยสร้างความสุขให้กับคนอื่นที่อยู่ใกล้ชิดได้ นอกจากนี้ การพูดจาภาษาดอกไม้ท่ามกลางความขัดแย้ง ยังสะท้อนถึงการรู้ตื่นของบุคคลที่มีสติคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาหากใช้คำพูดที่รุนแรง ประกอบกับแสดงให้เห็นถึงการมีเมตตา รู้จักให้อภัย เปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งเหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน นำไปสู่การหาทางออกของความขัดแย้งร่วมกันได้ในที่สุด
ในวันมาฆบูชา นอกจากเข้าวัด ฟังธรรม ทำกิจกรรมสำคัญทางศาสนาร่วมกันแล้ว ลองใช้โอกาสวันสำคัญนี้มาร่วมกันสร้างความรัก ความผูกพันและสายสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและเพื่อนฝูง ด้วยการพูดจาภาษาดอกไม้ ไม่มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู เพราะความรัก ความผูกพันและสายสัมพันธ์ที่ดีย่อมมีค่ามากกว่าความห่างเหินหมางเมิน โกรธแค้น หรือเกลียดชังกันด้วยเรื่องการเมืองเพียงเรื่องเดียว เปิดใจให้กว้าง รับฟังความเห็นที่แตกต่าง พูดจาดีต่อกัน ลดหรือหยุดรับคำพูดที่รุนแรงลงบ้างในวันนี้ เปลี่ยนมาร่วมกันสร้างกระแส กระตุกสังคม ส่งต่อคำพูดดีๆ ให้แก่กัน ผ่านสังคมออนไลน์แทน เป็นต้น ที่สำคัญ ต้องมีสติกับความคิด การพูด และการกระทำของตัวเอง อย่าเชื่อหรือปล่อยตัวเองไปตามข้อมูลในทันที ตลอดจน เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ครอบงำความคิดความรู้สึกของคู่สนทนา รวมทั้ง ระมัดระวังในการพิมพ์หรือแชร์ภาพและข้อความที่รุนแรงตอบโต้กับคนที่เห็นต่าง เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นและยั่วยุให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก "มาฆบูชา รู้ตื่น พูดจาภาษาดอกไม้ เริ่มกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อก้าวผ่านความขัดแย้ง เรียกความรักและความสุขกลับคืนมาสู่สังคมไทยร่วมกันอีกครั้ง" อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว