นางรัตนา กิจวรรณ ผู้ว่าการ กปภ. เปิดเผยว่า ปัจจุบันพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะ จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้น้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา ซึ่งที่ผ่านมา กปภ. ได้พยายามหาแหล่งน้ำดิบเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มอัตราการผลิตและจ่ายน้ำประปาให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กปภ.ได้ร่วมลงนาม (MOU) กับกรมชลประทาน ว่าด้วยการดำเนินการสูบผันน้ำท่อส่งน้ำเชื่อมโยงอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จ.ระยอง เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก และเพื่อให้แหล่งน้ำในพื้นที่ จ.ระยอง มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยการเชื่อมโยงระหว่างอ่างเก็บน้ำประแสร์ และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ด้วยระบบท่อส่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามวัตถุประสงค์ด้วยระบบท่อส่งน้ำ ซึ่งจะทำให้ กปภ.สาขา ในพื้นที่ จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี โดยเฉพาะ กปภ.สาขาระยอง สาขาบ้านฉาง สาขาพัทยา และสาขาแหลมฉบัง มีปริมาณน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาให้บริการประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยบันทึกข้อตกลงนี้มีระยะเวลาบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 ทั้งนี้ โครงการวางท่อเชื่อมโยงอ่างเก็บน้ำประแสร์ – คลองใหญ่ จ.ระยอง เป็นหนึ่งใน 13 โครงการ ที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2548 ที่อนุมัติในหลักการจัดสรรงบประมาณลงทุนในโครงการแก้ไขวิกฤติการขาดแคลนน้ำภาคตะวันออกเร่งด่วน โดยบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานดำเนินการจัดซื้อทรัพย์สินที่เกิดจากการก่อสร้างดังกล่าว
นางรัตนา กิจวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาแหล่งน้ำดิบเป็นปัญหาสำคัญในการดำเนินงานตามภารกิจหลักของ กปภ. การลงนามในครั้งนี้ กปภ.ขอขอบคุณกรมชลประทานที่ให้ความร่วมมือและถือว่าเป็นการร่วมมือของภาครัฐที่มุ่งเน้นประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญและเป็นสิ่งหนึ่งที่ กปภ. มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำประปา เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการใช้น้ำประปาอย่างเพียงพอและทั่วถึงในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศต่อไป