ที่สถาบันฝึกดับเพลิงและกู้ภัยชั้นสูง ทาฟต้า อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตรหน่วยสนับสนุนด้านการแพทย์ในสถานการณ์ภัยพิบัติ DMAT (Disaster Medical Assistance Team) โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินและอาสาสมัครเข้าร่วมรับการฝึกอบรมเป็นจำนวนมาก
นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปัจจุบันไม่ว่าจะด้วยการกระทำของมนุษย์หรือธรรมชาติก็ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการส่งผลกระทบที่ทำให้มีผู้ป่วยฉุกเฉิน เป็นจำนวนมาก สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญของการบริหารจัดการสาธารณภัยอย่างเป็นระบบทั้งก่อนเกิดภัยพิบัติ ขณะเกิดภัยพิบัติและหลังเกิดภัยพิบัติจึงได้จัดฝึกอบรมทีม DMAT (Disaster Medical Assistance Team) สำหรับผู้ปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินขึ้น เพื่อรองรับการช่วยเหลือประชาชนในยามเกิดภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการฝึกอบรมในครั้งนี้นั้นผู้เข้าร่วมอบรมจะได้เรียนรู้ระบบการบริหารจัดการสาธารณภัยเมื่อเกิดภัยพิบัติ การปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินในภาวะพิบัติภัย การเรียนรู้ด้านการตอบโต้เหตุและการช่วยเหลือบรรเทาเหตุการณ์อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมยังจะได้เรียนรู้ในเรื่องของการทำงานเป็นทีมอย่างเป็นระบบด้วยการใช้ระบบบัญชาการเหตุการณ์ทางด้านการแพทย์ในภาวะภัยพิบัติด้วย
เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า DMAT ย่อมาจาก Disaster Medical Assistance Team ซึ่งหมายถึงทีมที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้ประสบภัยในกรณีภัยพิบัติ โดยในแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกทีม DMAT แตกต่างกันออกไป อีกทั้งจำนวนคนและองค์ประกอบของทีมในแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันด้วยซึ่งไม่ว่าจะใช้ชื่อใดถ้าเป็นทีมที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในพื้นที่ประสบภัยก็จัดเป็นทีม DMATทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้นสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญในการรวบรวมทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร ทีมอาสาสมัคร อุปกรณ์ ด้านการแพทย์ฉุกเฉินจึงได้จัดตั้งทีมภายใต้ชื่อ DMAT สำหรับผู้ปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่รวมตัวขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที
"การฝึกอบรมในครั้งนี้จะเป็นการพัฒนาทั้งคนและอุปกรณ์ และยังเป็นการสร้างภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนรวมถึงพัฒนาระบบการเข้าให้ช่วยเหลือในพื้นที่ภัยพิบัติ เพื่อดูแลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย รวมถึงการเตรียมตัวพร้อมไปช่วยประเทศอื่นๆ ที่ร้องขอความช่วยเหลือมาไปพร้อมๆ กัน" นพ.อนุชากล่าว