กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มองพื้นที่ในภาพรวม ได้มีการหารือกับทุกฝ่ายและตัดสินใจดำเนินการโดยยึดประชาชนเป็นหลัก โดยการผันน้ำออกฝั่งซ้าย/ขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งนี้ ยังมีโอกาสเกิดฝนตกใต้เขื่อน ทำให้มีน้ำหลากเกิดขึ้นอีก จึงต้องเร่งระบายน้ำ โดยทางที่เร็วที่สุดคือการระบายทางตรงผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับน้ำท่วมขังในแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่ลุ่มต่ำนั้น เป็นการท่วมระหว่างคันกั้นน้ำกับแม่น้ำ ยังไม่ล้นคันกั้นน้ำ จึงยังไม่มีการปล่อยน้ำส่วนนี้เข้าพื้นที่เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวแล้ว เพราะน้ำยังไม่มากเกินไป แม่น้ำเจ้าพระยายังสามารถรับได้
"ในกรณีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ซึ่งน้ำใกล้จะเต็มเขื่อนนั้น ถือเป็นลักษณะปกติ เพราะมีพื้นที่รับน้ำมาก สามารถระบายน้ำลงมาแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณใต้เขื่อนพระราม 6 ได้ ขณะนี้ น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีประมาณ 1,600 ลบ.ม./วินาที ซึ่งหากจะทำให้ท่วม กทม. ต้องมีน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามากกว่า 3,800 ลบ.ม./วินาที แต่ได้สั่งการให้กรมชลประทานพยายามรักษาระดับน้ำไว้แค่เพียง 2,000 ลบ.ม./วินาที และให้ลดการระบายน้ำลงอีก ถ้ามีปริมาณฝนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้" พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำ จึงอยากสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจะต้องรีบดำเนินการช่วยเหลือพร้อมจ่ายค่าชดเชย ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วม/น้ำหลาก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 59) มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 42,659 ครัวเรือน เป็นพื้นที่เกษตร 121,619 ไร่ รวมทั้งสิ้น 13 จังหวัด จำนวน 38 อำเภอ 198 ตำบล 1,011 หมู่บ้าน โดยรัฐบาลจะมีการจ่ายค่าชดเชย และช่วยเหลือปัจจัยการผลิตในด้านต่าง ๆ เป็นต้น จึงขอให้มีความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล ซึ่งได้มีการบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะยึดหลักประชาชนเป็นสำคัญ