พร้อมกับติดตามการดำเนินงานเพื่อสนองพระราชปณิธานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดโครงการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชทานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรตลอดจนการฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้มีความสมบูรณ์อย่างยั่งยืนเพื่อประโยชน์กับราษฎรและประเทศชาติ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความปลาบปลื้มแก่ราษฎร ผู้ปฏิบัติงานและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของราษฎรในครั้งนี้
โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านป่าคา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร เป็นโครงการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2552 เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยให้สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงฯ เป็นสถานที่ให้ความรู้ด้านการเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และให้ราษฎรมาเรียนรู้โดยการจ้างงานรวมทั้งเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษ
ปัจจุบันสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านป่าคาได้ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ โดยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ราษฎรด้วยการส่งเสริมให้ความรู้ในการใช้สารเคมีเพื่อบำรุงต้นพืชและกำจัดศัตรูพืช ทำให้ราษฎรตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้สารเคมี ซึ่งจากการตรวจสารพิษตกค้างในโลหิตของเกษตรกร จำนวน 200 ราย พบว่ามีเกษตรกรที่มีความเสี่ยงลดลงถึง 3 เท่าจากปี 2559
เป็นเครื่องชี้ชัดว่าเกษตรกรให้ความสำคัญในการใช้สารเคมี นอกจากนี้ ยังให้ความรู้ในการวางแผนครอบครัว เพื่อให้มีจำนวนประชากรที่เหมาะสมกับรายได้ของแต่ละครอบครัว รวมถึงการจัดทำเส้นทางคมนาคมจากอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้าถึงสถานีฯ ระยะทาง 34 กิโลเมตร เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าเกษตรและการคมนาคมของราษฎรในพื้นที่อีกด้วย
โอกาสนี้ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี กล่าวในระหว่างการตรวจเยี่ยมโครงการว่า สิ่งที่ในหลวง
รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานให้แก่ลูกหลานไทยทุกหมู่เหล่า ก็คือศาสตร์วิชา ความรู้ เกี่ยวกับดิน ป่า และ น้ำ พระองค์รับสั่งอยู่เสมอว่า น้ำคือชีวิต ถ้าชีวิตทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งพืช ขาดน้ำ ก็อยู่ไม่ได้ แต่น้ำมาจากไหน ประเทศไทยของเรามีน้ำมาจากฟ้า ฝนที่ตกลงมาตามฤดูกาล ถ้าเรามีป่าไม้ที่สมบูรณ์ช่วยซับน้ำไว้ ก็จะทำให้เรามีน้ำใช้ได้ตลอดปี ชีวิตก็อยู่ได้ มีการเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหาร ชีวิตก็อยู่ได้
"เมื่อใดก็ตามที่เราขาดน้ำ เพราะฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เพราะเราไม่มีป่า คอยเก็บอุ้มน้ำเอาไว้ ถ้าฝนตกลงมามากป่าไม้ที่คอยซึมซับน้ำไว้ไม่มี น้ำก็จะไหลบ่าพรวดเดียวลงไปข้างล่างแล้วก็หายไป พื้นที่ด้านบนก็ไม่มีน้ำ ด้านล่าง ก็เสียหายจากกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวทำลายชีวิตและทรัพย์สิน นี่คือสิ่งที่พระองค์พระราชทานคำสั่งสอนไว้ และพวกเราทุกคนก็ถือเป็นบุญที่ได้รับพระราชทานคำสั่งสอนนี้" นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี กล่าว
ทางด้าน นายจักรพงษ์ ม้าเจริญตระกูล เกษตรกรหมู่บ้านป่าคา ต.โป่งน้ำร้อน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร หนึ่งในราษฎรที่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนมีอาชีพปลูกข้าวไร่และข้าวโพด ด้วยการทำไร่เลื่อนลอย รายได้ไม่แน่นอน และไม่เพียงพอในการดูแลครอบครัว หลังจากที่ได้จัดตั้งสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านป่าคา ขึ้นตนและเกษตรกรอีกหลายรายได้เข้ามาทำงานในโครงการฯ และได้รับการถ่ายทอดความรู้ และหลักวิชาการเรื่องการเพาะปลูกพืชโดยไม่ต้องทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการถางป่าเปิดพื้นที่ใหม่ๆ เพื่อเพาะปลูกทุกปี
จนสามารถนำไปปฎิบัติใช้ในพื้นที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี และประสบความสำเร็จ มีการปลูกพืชที่ใช้พื้นที่และน้ำน้อย และเป็นที่ต้องการของตลาด เช่น ปลูกสตอเบอรี่ มันญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพืชระยะสั้นได้ผลผลิตเร็ว ควบคู่กับการปลูกพืชให้ผลระยะยาว เช่น กาแฟ มะคาเดเมี่ย อะโวคาโด กล้วย เป็นต้น
"สำหรับพืชอายุสั้น ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ก็สามารถเก็บผลผลิตนำไปขายมีรายได้แล้ว ส่วนพืชให้ผลต้องใช้ระยะเวลา อย่างน้อย 4-5 ปีขึ้นไป จึงจะเก็บผลผลิตได้ แต่ก็เป็นพืชที่สร้างรายได้ที่มากและมั่นคง ในการปลูกสตอเบอรี่ พืชอายุสั้นนั้น ช่วงฤดหนาวนี้สร้างรายได้ดีมากใช้พื้นที่ปลูกเพียง 1 ไร่ สามารถปลูกได้ประมาณ 10,000-15,000 ต้น ซึ่งตนรู้สึกภูมิใจมากที่ปลูกพืชที่ให้ผลผลิตดีโดยไม่พึ่งสารเคมีใดๆ ทำให้ปัญหาสารตกค้างไม่มี นอกจากนี้เราต้องมีความซื่อสัตย์กับตนเองสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคให้ปลอดภัยด้วย สำหรับแรงงานนั้นใช้เพียงแรงงานคนในครอบครัวด้วยกันก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างแรงงาน อาจจะเห็นว่าการปลูกพืชแบบอินทรีย์ให้ผลผลิตน้อยกว่า แต่ถ้าเราพอเพียงแค่นี้ก็พอใจแล้ว แต่ก็ทำให้ขายผลผลิตได้ราคาดีกว่า มีตลาดที่เชื่อมั่นในผลผลิตตน โดยเฉพาะส่วนราชการต่างๆ ที่ติดต่อสั่งซื้อมาตลอด และเรายังมีตลาดที่แน่นอนด้วย ผลผลิตจะออกประมาณปลายเดือนธันวาคม ถึงเดือนมีนาคม และปีที่ผ่านมามีรายได้เฉพาะขายสตอเบอรี่เมื่อหักค่าใช้จ่ายก็เหลืออยู่ประมาณ 2 แสนบาท ปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยในการขายพืชผลต่อปีประมาณ 3 – 4 แสนบาท ทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ทั้งนี้ราษฎรในพื้นที่ทุกคนต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ได้พระราชทานอาชีพ ที่มั่นคงมาให้ ทุกคนในพื้นที่แห่งนี้จะขอเป็นพสกนิกรที่ดีของพระองค์ตลอดไปชั่วนิรันดร์" นายจักรพงษ์ ม้าเจริญตระกูล กล่าว
สำหรับแนวทางในการดำเนินการต่อไปของโครงการฯ จะทำการการเผยแพร่ความรู้ให้กับเกษตรกรในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ เช่น การทำกล้วยตาก การทำน้ำผลไม้เข้มข้น เพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพเสริม และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายสินค้าแปรรูป นอกจากนี้จะได้ก่อสร้างสะพานข้ามลำคลองแทนการใช้แผ่นไม้เดิมให้กับราษฎร เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ตลอดจนนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง สำหรับด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะจัดให้มีการฝึกอบรมเยาวชนอาสาพิทักษ์ป่า เพื่อสร้างแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้กับเยาวชนในพื้นที่ และเพื่อปลูกจิตสำนึกและตระหนักถึงประโยชน์ของป่าไม้ อีกด้วย