14 กุมภาพันธ์ 2561 กรุงเทพฯ– งาน ELECRAMA 2018 จัดโดยสมาคม Indian Electrical & Electronics Manufacturers' Association (IEEMA) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านไฟฟ้ากำลังที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดงานหนึ่งของโลก โดยรวบรวมโซลูชั่นครบวงจร 360 องศา จะจัดขึ้นในวันที่ 10 – 14 มีนาคม 2561 ณ India Expo Mart, Greater Noida กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย
นายฮาริช อากราวาล (Harish Agarwal) รองประธานสมาคม IEEMA ได้พบปะกับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน เมื่อเร็วๆ นี้
ที่กรุงเทพฯเพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวงานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านไฟฟ้าระดับโลกนี้ให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนของไทย และผู้ผลิตอุปกรณ์ ไฟฟ้าระบบส่งและจำหน่าย งาน ELECRAMA 2018 ครั้งที่ 13 ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอินเดีย เป็นงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีไฟฟ้ารวมไปถึงงานสร้างเครือข่ายทางธุรกิจชั้นนำ และเป็นงานเผยแพร่องค์ความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดของผู้นำในวงการนี้อีกด้วย
งาน ELECRAMA 2018 จะครอบคลุมทุกแง่มุมในเรื่องไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต การส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์กำลัง (Power Electronics) พลังงานหมุนเวียน การขนส่งไฟฟ้า การกักเก็บพลังงาน และระบบอัตโนมัติ
นายฮาริช อากราวาล กล่าวเพิ่มเติมว่า งาน ELECRAMA 2018 เป็นโอกาสที่ประเทศไทยและอินเดียจะได้ผลักดันธุรกิจด้านการไฟฟ้าในระยะยาว เนื่องจากทั้งสองประเทศมีศักยภาพสูง บริษัทไทยหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า ส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กำลัง (Power Electronics) เทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electro-mobility) และการกักเก็บพลังงาน ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมงานและร่วมจัดนิทรรศการในงาน ELECRAMA 2018 แล้ว
"ประเทศไทยจะต้องลงทุนมหาศาลในระบบพลังงานในอีก 2 ทศวรรษข้างหน้า เนื่องจากประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียนแบบใหม่ 30% ของปริมาณการบริโภคพลังงานทั้งหมดภายในปี 2579 รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของแหล่งพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนมาเป็นเวลานานแล้ว และจำเป็นต้องสร้างโปรแกรมขึ้นมาเพื่อรองรับการพัฒนาและการใช้พลังงานหมุนเวียน อีกทั้ง ยังต้องเสริมความแข็งแกร่งและขยายโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการส่งถ่ายพลังงานอีกด้วย"
นายฮาริช อากราวาล ชี้แจงว่า อินเดียกำลังเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานหมุนเวียน เปลี่ยนจากโครงข่ายแบบโบราณไปเป็นสมาร์ทกริด เปลี่ยนจากมหานครนครที่มีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่นไปเป็นสมาร์ทซิตี้ งาน ELECRAMA 2018 ในครั้งนี้ จะมีผู้วางแผนนโยบายมาร่วมกันระดมสมองวางโร้ดแมปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลอินเดียได้วางไว้
งาน ELECRAMA เมื่อปี 2559 มียอดขายมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ(หรือประมาณ 13.2 พันล้านบาท)จากนักธุรกิจกว่า 600 ราย และมีการประชุมกว่า 6000 งานใน 3 วัน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการพลังงานหมุนเวียนละพลังงานใหม่ จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ประเทศอินเดียและประเทศไทย มีศักยภาพสูงมากในการขยายการค้าในด้านการไฟฟ้าและพลังงาน ซึ่งปีนี้ ตัวแทนจาก กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย จะเข้าร่วม งาน ELECRAMA 2018/
ดร.ซานเจย์ กุมาร, ผู้แทนการพาณิชย์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวว่าการค้าทวิภาคีระหว่างอินเดียกับไทยได้เติบโตขึ้นมากกว่า 35%ในปี 2560 และ การค้านี้ ควรมุ่งเป้าไปที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในอีก 3 ปีข้างหน้า
นาย วิชัย การีญา (Mr Vijay Karia) ประธาน ELECRAMA กล่าวว่า งาน ELECRAMA 2018 จะมีผู้เข้าร่วมจัดนิทรรศการกว่า 1100 ราย มีเนื้อที่จัดงานกว่า 10,000 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยบริษัทผลิตไฟฟ้าและพลังงาน และผู้ผลิตอุปกรณ์ ไฟฟ้าระบบส่งและจำหน่าย มากกว่า 100 ประเทศ มาร่วมแสดงสินค้าและบริการของตนเอง โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 250,000 คนในช่วงจัดงาน 5 วัน จะมีบูธเกี่ยวกับการรถไฟ ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน นอกจากนั้น งาน ELECRAMA 2018 จะเน้นในเรื่องเทคโนโลยี IOT (Internet of Things) เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน (Storage Solutions) และอื่นๆ อีกมากมาย
ไฮไลท์ของงาน ELECRAMA 2018 ได้แก่ การประชุมสุดยอด World Utility Summit งานประชุมผู้นำทางความคิดบุกเบิก ETechNxt จะประกอบด้วยสินค้าและบริการอันล้ำสมัย และการประชุมที่ซึ่งผู้เข้าร่วมงานจะได้พูดคุยกับผู้นำของอุตสาหกรรมและ ChangeXChange 2018 ที่นักธุรกิจจะได้เข้าถึงผู้ผลิตอุปกรณ์และส่วนประกอบไฟฟ้าคุณภาพดีจากประเทศอินเดีย นอกจากนั้น ยังมีบูธ VR และ AR อินเตอร์แอคทีฟ และมีการสัมมนากลุ่มเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ มากมาย รวมถึงการจัดเก็บพลังงาน การรักษาความปลอดภัยของพลังงาน ความท้าทายจากสภาพอากาศ และการประยุกต์ใช้ข้อมูลและการสื่อสาร
นาย ชรีโกปาล คาบรา (Mr Shreegopal Kabra) ประธานสมาคม IEEMA กล่าวว่า สมาคม IEEMA มีส่วนสำคัญที่ทำให้องค์กรขึ้นมายืนอยู่ในจุดนี้โดยมีสมาชิกกว่า 800 ราย และมีรายได้รวมกว่า 42,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ในทุกวันนี้ สภาพการณ์ธุรกิจในวงการของเราเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก เมื่อไม่นานมานี้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของภาษีและการยกเลิกธนบัตร สมาคมของเราได้ริเริ่มส่งเสริมนโยบายการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดความผิดปกติและนำไปสู่ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลจนเป็นผลสำเร็จ สมาคมของเราจะยังคงเดินหน้ารับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อไป"