หน่วยงานด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาล ให้ความสนใจใช้ไฮบริดคลาวด์เพิ่มขึ้น ผลสำรวจพบว่าความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการใช้งานแอปพลิเคชั่น เป็นสิ่งที่องค์กรด้านนี้ต้องการ เพื่อเสริมทัพการใช้งานคลาวด์ของตน

พุธ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๙ ๑๕:๒๖
นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านคลาวด์คอมพิวติ้งระดับองค์กร เปิดเผยตัวเลขจากรายงาน Enterprise Cloud Index เกี่ยวกับการวางแผนใช้งานคลาวด์ขององค์กรด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาล ทั้งที่เป็นไพรเวท ไฮบริด และพับลิคคลาวด์ รายงานระบุว่าวงการสาธารณสุข และโรงพยาบาล กำลังใช้งานไฮบริดคลาวด์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไฮบริดคลาวด์เป็นการรวมความสามารถ และประโยชน์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับจากไพรเวทและพับลิคคลาวด์ไว้ด้วยกัน ทั้งนี้เมื่อแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว หน่วยงานด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานไฮบริดคลาวด์มากเป็นลำดับที่สาม รายงานยังพบว่า ในเวลาเพียงสองปี การใช้งานไฮบริดคลาวด์ของผู้ให้บริการด้านนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 19% เป็น 37%

ปัจจุบันองค์กรด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลจำเป็นต้องจัดการกับความต้องการด้านไอทีที่สำคัญหลายด้าน รวมถึงความจำเป็นที่ต้องเพิ่มความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของผู้ป่วย และยังต้องให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบ ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 28% ระบุว่าการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นเกณฑ์การตัดสินใจลำดับแรกในการเลือกว่าจะให้เวิร์กโหลดของตนทำงานอยู่บนระบบใด การที่แฮกเกอร์มุ่งเป้าโจมตีข้อมูลเวชระเบียนซึ่งมีรายละเอียดส่วนตัวของผู้ป่วย เช่น ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยและข้อมูลเกี่ยวกับการทำประกันของผู้ป่วย ทำให้โรงพยาบาลและผู้ให้บริการด้านนี้ต้องการโซลูชั่นที่สามารถรับมือกับความเคลื่อนไหวของข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้โดยไม่เกิดความเสี่ยงใดๆ ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขต้องมีความสามารถในการรักษาความปลอดภัยพื้นฐานที่จำเป็น และต้องปฏิบัติตามกฎของ HIPAA ในเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ป่วย ผู้ให้บริการเหล่านี้จึงต้องแสวงหาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างเฉพาะเจาะจง

ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าวงการสาธารณสุขและโรงพยาบาล กำลังหันไปใช้ระบบไฮบริดคลาวด์ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและสามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชั่นระหว่างไพรเวทและพับลิคคลาวด์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เพื่อจัดการกับความกังวลด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ตอบแบบสำรวจเกินครึ่งจากวงการสาธารณสุขและโรงพยาบาล ระบุว่าการใช้งานอินเตอร์-คลาวด์ แอปพลิเคชั่น โมบิลิตี้นั้นเป็น "สิ่งจำเป็น" ที่จะทำให้การเคลื่อนย้ายการทำงานของแอปพลิเคชั่นต่างๆ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง บริการด้านเน็ตเวิร์คต่างๆ และนโยบายด้านความปลอดภัย ระหว่างไพรเวทและพับลิคคลาวด์เป็นไปอย่างราบรื่น

จากมุมมองของผู้ป่วยและแพทย์ การใช้คลาวด์โมเดล ไฮบริด หรืออื่นๆ ยังช่วยให้ผู้ให้บริการเปลี่ยนผ่านวิธีการให้บริการไปสู่การให้บริการในรูปแบบดิจิทัล นวัตกรรมด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ช่วยให้โรงพยาบาลบริหารจัดการแอปพลิเคชั่นและประเภทข้อมูลที่แตกต่างกันได้ ใช้ประโยชน์จากระบบออโตเมชั่น และสร้างสายงานบริการแบบใหม่ เช่น เทเลเฮลท์ หรือรีโมทมอนิเตอร์ริ่งได้ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีส่วนร่วมได้มากขึ้น

ผลสำรวจที่สำคัญอื่นๆ ประกอบด้วย

บริษัทด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาล ใช้จ่ายกับระบบพับลิคคลาวด์มากเกินความจำเป็น: ดูเหมือนว่าแรงจูงใจอีกประการหนึ่งในการใช้งานไฮบริดคลาวด์ขององค์กรต่างๆ คือการที่องค์กรเหล่านั้นจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายด้านไอที องค์กรที่ใช้พับลิคคลาวด์ใช้จ่ายเงินคิดเป็น 26% ของงบประมาณด้านไอทีประจำปีไปกับระบบพับลิคคลาวด์ และจะเพิ่มเป็น 35% ภายในเวลา

สองปี ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายกับระบบพับลิคคลาวด์ บริษัทด้านเฮลท์แคร์ใช้งบประมาณเกินกว่าที่ตั้งไว้ 40% ในขณะที่บริษัทระดับโลกที่อยู่ต่างอุตสาหกรรมใช้งบประมาณเกินกว่าที่ตั้งไว้ 35%

การใช้พับลิคคลาวด์ขององค์กรด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาล แซงหน้าการใช้ IoT ในอุตสาหกรรมอื่น: อุตสาหกรรมด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลนิยมใช้งานพับลิคคลาวด์ในระดับใกล้เคียงกับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่วนใหญ่ รายงานระบุว่ามีการใช้งาน 13% เมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยทั่วโลกที่ 12% อย่างไรก็ตามบริษัทด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลก็แซงหน้าค่าเฉลี่ยของแอปพลิเคชั่นบางอย่าง เช่น ERP/CRM การวิเคราะห์ข้อมูล คอนเทนเนอร์ และอินเทอร์เนตออฟธิงค์ (IoT)

วงการสาธารณสุขและโรงพยาบาล ขาดแคลนทักษะไอทีด้านไฮบริด: ผู้ตอบแบบสอบถาม 88% คาดหวังผลลัพธ์เชิงบวกจากไฮบริดคลาวด์ ในขณะที่ทักษะด้านนี้ยังขาดแคลนในองค์กรในปัจจุบัน ทั้งนี้ทักษะด้านไฮบริดจัดเป็นทักษะที่ขาดแคลนเป็นลำดับที่สองรองจากทักษะด้าน AI และแมชชีนเลิร์นนิ่ง

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทยของนูทานิคซ์ กล่าวว่า "จากผลสำรวจข้างต้น สอดคล้องกับประเทศไทยซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้จัดหาระบบการดูแลสุขภาพที่ดีให้แก่ประชาชนเสมอมา ดังจะเห็นได้จากภาครัฐของไทย โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมการ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ"

"แต่ประชากรสูงอายุที่มีมากขึ้น โรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงความท้าทายทางเทคนิคและสังคมอื่นๆ ล้วนสร้างแรงกดดันให้โรงพยาบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพมากขึ้นเช่นกัน ไม่มีวิธีที่จะแก้ความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างทันทีทันใด แต่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ทันสมัยและรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต เป็นขั้นตอนแรกที่เริ่มทำได้ทันที เพื่อคงคุณภาพการดูแลรักษาในปัจจุบัน และช่วยให้สามารถให้บริการด้านการดูแลสุขภาพอย่างเฉพาะเจาะจงไปยังแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น" นายทวิพงศ์กล่าวเสริม

นโยบาย Thailand 4.0 รัฐบาลไทยตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำ และเป็นศูนย์กลางการให้บริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพระดับโลกภายในกรอบเวลาสิบปี โดยตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์สี่ด้านคือ การดูแลสุขภาพ บริการทางการแพทย์ ด้านวิชาการ และผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบรับนโยบายดังกล่าว องค์กรด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลในประเทศไทยได้มีการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการบริการต่างๆ ของตน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในระบบ เพิ่มการเข้าถึงสาธารณชน และเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการ

ในปี 2559 ประชากรไทย 11% มีอายุมากกว่า 65 ปี และคาดการณ์ว่าภายในปี 2040 จะเพิ่มขึ้นเป็น 25% (หรือประมาณ 17 ล้านคน) นอกจากนี้ทีดีอาร์ไอยังเปิดเผยผลประมาณการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้าตามหลัก OECD จะคิดเป็นเงินประมาณ 4.8 – 6.3 แสนล้านบาท เมื่อผนวกกับปัจจัยสังคมสูงวัย ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไปถึง 1.4 – 1.8 ล้านล้านบาท"

เมื่อความต้องการโครงสร้างพื้นฐานไอทีของประเทศเพิ่มมากขึ้น นวัตกรรมทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ จึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ภาคสาธารณสุขของประเทศให้บริการและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น และสอดคล้องกับนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล

เกี่ยวกับนูทานิคซ์

นูทานิคซ์เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์และโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ ช่วยให้ฝ่ายไอทีไม่ต้องกังวลเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และสามารถมุ่งเน้นกับความสำคัญบนแอปพลิเคชั่นและบริการที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ บริษัททั่วโลกใช้ซอฟต์แวร์ Enterprise Cloud OS ของนูทานิคซ์ เพื่อให้บริหารจัดการแอปพลิเคชั่นได้ในคลิกเดียวและสามารถโยกย้ายไปมาได้ทั้งพับลิคคลาวด์ ไพรเวทคลาวด์ และดิสทริบิวเต็ดเอจด์คลาวด์ ดังนั้นจึงสามารถใช้แอปพลิเคชั่นได้ทุกขนาดและทุกรูปแบบด้วยต้นทุนรวมที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้องค์กรสามารถให้บริการสภาพแวดล้อมไอทีประสิทธิภาพสูงตามความต้องการได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ดูแลการทำงานของแอปพลิเชั่นต่างๆ สัมผัสประสบการณ์เสมือนคลาวด์อย่างแท้จริง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nutanix.com หรือติดตามเราได้ที่ทวิตเตอร์ @nutanix

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๗ ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๑๗:๕๓ NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๑๗:๐๕ แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๑๗:๓๒ แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๑๗:๒๕ RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๑๗:๔๘ ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๑๗:๐๕ เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๑๗:๐๖ ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๑๗:๔๙ ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud
๑๗:๐๐ เปิดรับสมัครแล้ว HaadThip Fan Run 2024 แฟนรัน ฟันแลนด์ ดินแดนมหัศจรรย์ หาดสมิหลา จ.สงขลา