ข้อเรียกร้องของเครือข่ายนี้ ก็เป็นเช่นทุกปี โดยในปีนี้ เครือข่ายสลัม 4 ภาค บอกว่า "ในประเทศไทยมีชุมชนที่อยู่ในสถานการณ์ไล่รื้อจำนวน 86 ชุมชน 6,100 ครอบครัว 34,000 คน อันมีสาเหตุมาจากโครงการก่อสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน . . . (ชุมชนชนบทก็) ประสบปัญหาจากแผนพัฒนาของรัฐ เช่นแผนแม่บทป่าไม้ - ที่ดิน การให้สัมปทานเหมืองแร่ การสร้างโรงไฟฟ้า ที่ต้องทำให้คนในชนบทสูญเสีย . . ."
ข้างต้นเป็นการตีขลุมเป็นอย่างยิ่ง เพราะโครงการคมนาคมส่วนมากยังไม่ได้ดำเนินการ ในชนบทก็มีชุมชนบุกรุกป่าอยู่ไม่กี่แห่ง ส่วนการให้สัมปทานเหมืองแร่ การสร้างโรงไฟฟ้า ก็แทบไม่ได้ทำให้เกิดการสูญเสียที่ดินแต่อย่างใด เว้นแต่การจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ เฉพาะหน้าคงมีไม่ถึง 20 แห่ง ซึ่งถือว่าปัญหาเฉพาะจุดที่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย ไม่ได้เป็นกระแสใหญ่ดังที่ทางเครือข่ายพยายามนำเสนอ
ในการเวนคืนที่ดินเพื่อพัฒนาให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมนั้น แม้แต่บ้านเรือนของผู้มีรายได้สูง-รายได้ปานกลาง ก็ยังต้องย้ายออก จะอ้างว่าเป็นคนจนแล้วไม่ยินดีย้ายไม่ได้ โดยเฉพาะหากรัฐบาลมีการจัดหาที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ส่วนมากชาวชุมชนแออัดที่เช่าที่ปลูกบ้านก็ยินดีย้ายเมื่อเจ้าของที่ร้องขอ แต่ชาวชุมชนแออัดบุกรุกกลับไม่ยอมย้าย ปกติแล้วแม้แต่ชาวชุมชนแออัดเอง ก็ใช่อยากจะอยู่ในชุมชนตลอดไป ก็ต้องการที่จะมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเพื่อลูกหลาน
เครือข่ายเสนอให้ก่อสร้างบ้านมั่นคง โดยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับชาวชุมชนแออัด โดยเฉพาะที่บุกรุกผิดกฎหมายมายาวนาน กรณีนี้ถือเป็นการใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ชาวชุมชนแออัดที่ได้ที่ดินในโครงการ Land Sharing ก็พร้อมใจกัน "เบี้ยว" ไม่ผ่อนชำระ เท่ากับเป็นการเอาเปรียบสังคมโดยแท้ เพราะประชาชนทั่วไปกว่าจะเก็บหอมรอมริบมีที่อยู่อาศัยของตนเองได้ ก็ต้องไปไกลอยู่ชานเมือง แต่ผู้บุกรุกในเมืองกลับแทบจะได้ที่อยู่อาศัยฟรี ๆ ทั้งที่ผิดกฎหมายมานับสิบ ๆ ปี
อ้างอิง: AREA แถลง ฉบับที่ 301/2558:วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2558
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย ([email protected]) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน