นักวิชาการเตือนฟ้าผ่า! ไม่ได้เกิดจากโลหะสื่อล่อฟ้า

พฤหัส ๑๑ กันยายน ๒๐๐๘ ๐๙:๓๑
กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--สวทช.
ภัยธรรมชาติที่พึงระวังเป็นอย่างยิ่งในช่วงฝนตก ฟ้าคะนองทั่วกรุงเช่นนี้ คือ “ฟ้าผ่า” โดยล่าสุดพบศพชาย 2 คน เสียชีวิตอยู่ใกล้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำดอกกราย จังหวัดระยอง ตรวจสภาพศพพบหน้าอกมีรอยไหม้เกรียม เสื้อผ้าขาดวิ่น (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง) เบื้องต้นสันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตได้เข้ามาหลบฝนใกล้รถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นสื่อสายไฟทำให้ฟ้าผ่าเสียชีวิต ด้านนักวิชาการออกมาชี้แจงว่าความจริงแล้วจุดที่ฟ้าผ่าไม่จำเป็นต้องมีโลหะหรือตัวนำไฟฟ้าชั้นดีเป็นสื่อล่อก็ผ่าได้ ส่วนโลหะ เช่น เครื่องประดับ แหวน สร้อยคอ เข็มกลัด ที่เคยเชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดฟ้าผ่าผู้เสียชีวิตในหลายกรณีที่ผ่านมานั้นแทบจะไม่มีผลใดๆในการล่อฟ้าเลย
ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ฟ้าผ่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนอง หรือ เมฆคิวมูโลนิมบัส ซึ่งภายในก้อนเมฆเองและพื้นดินมีต่างมีประจุไฟฟ้าที่ต่างกันคือประจุบวกและประจุลบ เมื่อประจุที่ต่างกันวิ่งเข้าหากันก็จะทำให้เกิดฟ้าผ่าขึ้น ด้วยเหตุนี้ฟ้าผ่าจึงเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ ฟ้าผ่าจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังเมฆอีกก้อนหรือฟ้าแลบ รวมถึงฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดินซึ่งเป็นประเภทที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นอันตรายกับคนส่วนใหญ่มากที่สุด
“ฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดิน เกิดขึ้นเมื่อประจุลบ(อิเล็กตรอน)เคลื่อนที่จากฐานเมฆลงมาที่อากาศผ่านเข้ามาใกล้พื้นดิน ซึ่งประจุลบนี้สามารถเหนี่ยวนำให้วัตถุที่พื้นผิวของโลกซึ่งอยู่ “ใต้เงาเมฆ” มีประจุเป็นบวกได้ทั้งหมด พร้อมทั้งดึงดูดประจุบวกจากพื้นดินให้ไหลขึ้นมาตามต้นไม้ หลังคาบ้าน หรือบริเวณใดก็ได้ที่เป็นที่สูง เมื่อประจุลบกับประจุบวกเดินทางมาเจอกันเคลื่อนที่สวนทาง จึงเกิดเป็นกระแสโต้กลับและเกิดเป็นฟ้าผ่าได้ในที่สุด ดังนั้นจะเห็นว่าวัตถุและพื้นที่ทุกจุดใต้เงาเมฆฝนฟ้าคะนองมีโอกาสเป็นจุดที่ถูกฟ้าผ่าได้หมดแม้จะไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าก็ตาม ซึ่งจุดเสี่ยงที่จะเกิดฟ้าผ่ามากที่สุดคือบริเวณที่สูง เช่น ต้นไม้ เสาไฟฟ้า หลังคาบ้าน เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ประจุบวกสามารถเชื่อมโยงกับประจุลบได้ง่ายที่สุด ในขณะที่ชิ้นส่วนโลหะ เช่น สร้อย แหวน กระดิ่งแขวนคอวัว นั้นแทบจะไม่มีผลต่อการเป็นสื่อล่อฟ้าเลย
ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าโดยตรง ดร.บัญชา กล่าวว่า สามารถได้อันตรายจากฟ้าผ่าใน 3 รูปแบบ คือ 1. ไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่ร่างกายโดยการสัมผัสกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า เช่น หากหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า เสาอากาศ และมีบางส่วนของร่างกายแตะกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็จะไหลเข้าสู่ลำตัวได้โดยตรง 2. ไฟฟ้าแลบจากด้านข้าง (side flash) กล่าวคือ แม้จะไม่ได้แตะจุดที่ฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็อาจจะ “กระโดด” เข้าสู่ตัวคนทางด้านข้างได้ (ดูภาพ Side Flash ประกอบ)
3. กระแสวิ่งตามพื้น (step voltage) คือ กระแสไฟฟ้าสามารถวิ่งจากจุดถูกที่ฟ้าผ่าออกไปยังบริเวณโดยรอบ เช่น จากลำต้นลงมาที่โคนต้นไม้และกระจายออกไปตามพื้นดิน ซึ่งมักเป็นบริเวณที่น้ำเจิ่งนอง หากกระแสดังกล่าววิ่งผ่านเข้าสู่ตัวคน ก็ย่อมทำอันตราย โดยในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือ ทำให้ถึงแก่ความตายได้ สำหรับกรณีกระแสวิ่งตามพื้นนี้ เคยมีกรณีเหตุการณ์ฟ้าผ่าวัวจำนวนมากตาย และสันนิษฐาน(อย่างไม่ถูกต้องว่า) เกิดจากกระดิ่งโลหะที่แขวนคอเป็นตัวล่อ ซึ่งความจริงแล้วโอกาสที่สายฟ้าจะผ่าลงมาตรงกระดิ่งขนาดเล็กของวัวพร้อมกันหลายๆตัว 15 นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
ส่วนกรณีรอยไหม้ที่พบบริเวณที่ใส่โลหะต่างๆ ดร.บัญชา อธิบายว่า เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่ตัวคนได้ทั้งจากเสื้อผ้า (ซึ่งอาจเปียกน้ำ) ร่างกาย และผ่านลวดหรือโลหะ ซึ่งโลหะมีความต้านทานไฟฟ้าต่ำสุด จึงทำให้กระแสไฟไหลผ่านในปริมาณมากก่อให้เกิดความร้อนและเป็นรอยไหม้ที่พบบนผิวหนัง ดังเช่น กรณีหญิงสาวชาวไทย 2 คน ที่ถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตใต้ต้นไม้ในสวนสาธารณะไฮด์พาร์ค กลางกรุงลอนดอน และพบรอยไหม้ตามแนวขอบเสื้อชั้นใน ดังที่เคยเป็นข่าวเมื่อปี 2542 เป็นต้น
อย่างไรก็ดีการออกมาชี้แจงเรื่องฟ้าผ่านั้นไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจกับการเกิด “ฟ้าผ่า” ที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่การปฏิบัติตัวที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้า ทั้งนี้สถานที่หลบภัยจากฟ้าผ่าคือภายในตัวอาคาร หรือรถยนต์ที่ปิดกระจกโดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่สัมผัสกับวัสดุที่เชื่อมต่อกับอาคารหรือตัวรถด้านนอกซึ่งอาจถูกฟ้าผ่าได้ งดการใช้โทรศัพท์แบบมีสาย ถอดปลั๊กโทรทัศน์ และไม่ควรเล่นอินเตอร์เนตที่เชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์เพราะกระแสไฟฟ้าจากอาคารสามารถวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ได้ ขณะที่คนซึ่งอยู่กลางแจ้งเมื่อเกิดฟ้าผ่าให้นั่งยองๆก้มศีรษะเพื่อลดตัวให้ต่ำที่สุด เท้าชิดกันและเขย่งเล็กน้อยเพื่อลดความเสี่ยงกรณีกระแสไฟไหลมาตามพื้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย ส่วนงานกลาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
โทรศัพท์ 0-2564-7000 ต่อ 1461 ,1462 โทรสาร 0-2564-7000 ต่อ 1482 e-mail : [email protected]

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๖ ม.ศรีปทุม เตรียมรับนักศึกษาจีน! คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ SPU ต้อนรับและหารือ สถาบันการศึกษาจีน แผนรับนศ.จีนเข้าเรียน
๑๗:๑๖ UAC รุกพัฒนาโรงไฟฟ้าภูผาม่าน - โรงงานผลิต RDF3 ปั้นรายได้ปีนี้โตมากกว่า 15% - EBITDA แกร่งแตะ 20%
๑๗:๓๐ เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) เบอร์ 1 ซอสพริกส่งออกของไทย เฉิดฉายในงาน THAIFEX - ANUGA ASIA 2024
๑๗:๒๐ LVMH ขยายความร่วมมือกับ Alibaba สร้างนิยามใหม่ให้กับประสบการณ์ค้าปลีกผลิตภัณฑ์หรูในจีน
๑๗:๐๐ ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ (VIH) เปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน 4-10 มิ.ย.นี้ ต่อยอดขยายอาณาจักรโรงพยาบาล คาดผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิเต็มจำนวน
๑๗:๕๒ กทม. ตั้งเต็นท์ศาลาที่พักผู้โดยสารชั่วคราวหน้า รร. คลองทวีวัฒนา ก่อนของบสร้างถาวรเพิ่มเติม
๑๗:๒๒ กทม. เร่งตรวจสอบแก้ไขฝาบ่อตะแกรงเหล็กท่อร้อยสายทางเท้าถนนเยาวราช
๑๗:๒๕ Q2 รับสร้างบ้านภาคอีสาน-ใต้ทรงกับทรุดพีดีเฮ้าส์ ชูโนว์ฮาว-ประสบการณ์มืออาชีพแก้เกมส์แข่งเดือด
๑๗:๑๙ อีริคสันครองอันดับหนึ่งผู้นำตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ในรายงาน Frost Radar(TM) เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน
๑๗:๕๔ IB Club ร่วมกับ FynnCorp ผสานต่อโครงการ Capital Market Case Competition 2024 เคสการแข่งขันตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกันกว่า 270,000