พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงผลการเดินทางไปพบปะหารือกับนักลงทุนรายใหญ่ของญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 5 - 10 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา ว่า บริษัทนิปปอน สตีล คอร์ปอร์เรชั่น และบริษัท เจ เอฟ อี ยังต้องการลงทุนโครงการเหล็กต้นน้ำในประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญของบริษัทญี่ปุ่น แม้ประเทศไทยจะมีปัญหาความไม่สงบทางการเมืองอยู่บ้าง แต่บริษัทญี่ปุ่นมีความมั่นใจว่าไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แต่รัฐบาลต้องมีความชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนโครงการเหล็กต้นน้ำ และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านสาธารณูปโภค เช่น ท่าเรือน้ำลึก ไฟฟ้า การพัฒนาที่ดินที่จะเป็นที่ตั้งของโรงงาน ซึ่งขณะนี้บริษัทญี่ปุ่นกำลังรอความชัดเจนในเรื่องพื้นที่ตั้งโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้
การหารือในครั้งนี้ ทำให้ทราบถึงความตั้งใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทญี่ปุ่นให้ความสำคัญอย่างมากโดยโรงงานในญี่ปุ่นมีการเปิดเผยข้อมูลสิ่งแวดล้อม และพร้อมให้ชุมชนเข้าดูข้อมูลที่โรงงานได้ตลอดเวลา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวด้วยว่า ได้เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดตั้งคณะทำงานเหล็กต้นน้ำขึ้น โดยมีรัฐมนตรีอุตสาหกรรมเป็นประธาน และจะเชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และสถาบันเหล็กและเหล็กกล้า เป็นต้น เพื่อระดมสมองวางกรอบข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับโครงการเหล็กต้นน้ำ เพื่อให้มีข้อสรุปในเบื้องต้น และเสนอไปยังบอร์ดบีโอไอ และ ครม. ให้ความเห็นชอบตามลำดับชั้นต่อไป โดยคณะทำงานจะเสนอแนวทางการมีส่วนร่วม และสร้างประโยชน์ที่ถาวรของโครงการเหล็กต้นน้ำต่อชุมชนในพื้นที่ด้วย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะยังได้พบปะหารือกับบริษัทผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งต้องการจะขยายการลงทุนในประเทศไทย แต่ต้องการให้มีการปรับปรุงวิธีการใช้สิทธิประโยชน์ของบีโอไอ เพื่อความสะดวกในการหมุนเวียนใช้เครื่องจักร ให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการผลิตสินค้ารุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดตลอดเวลา ซึ่ง พล.ต.อ. ประชา ได้มอบหมายให้บีโอไอพิจารณาข้อเสนอของบริษัทเพื่อหาทางปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการขยายการลงทุนของอุตสาหกรรมไฮเทคในไทย ซึ่งจะนำไปสู่การจ้างงานใหม่ๆ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับประเทศไทยในอนาคต