สวทช. หนุน เอกชน ตั้ง“ศูนย์วิจัยและทดสอบผ้าเบรก” แห่งแรกของไทย

พฤหัส ๑๒ มีนาคม ๒๐๐๙ ๑๗:๔๑
‘ผ้าเบรก’ เป็นชิ้นส่วนหนึ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้สำหรับรถทุกประเภท ปัจจุบันผู้ผลิตผ้าเบรกนอกจากต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังต้องใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมด้วย บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ในเครือบริษัท เอเชียคอมแพ็ค จำกัด ผู้นำด้านการผลิตเบรก และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เบรกครบวงจร มานานกว่า 30 ปี ในฐานะบริษัทไทยรายแรกที่ได้วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตผ้าเบรก “ ไม่มีใยหิน หรือ ไร้ใยหิน ” ที่เรียกว่า NAO หรือ NON Asbestos Organic เป็นวัสดุที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณสมบัติเดียวกับวัสดุที่ใช้ทำเสื้อเกราะกันกระสุน ระบายความร้อนได้ดี และมีประสิทธิภาพการเบรกที่สม่ำเสมอ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก (OEM ) และต่อยอดการพัฒนาสู่ผ้าเบรก Nano เป็นรายแรกของไทย

ล่าสุด บริษัทฯ ยังได้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อการวิจัยและทดสอบการผลิตชิ้นส่วนเบรกรถยนต์ขึ้น เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้เป็นศูนย์วิจัยและทดสอบประสิทธิภาพผ้าเบรกที่มีความแม่นยำได้มาตรฐานระดับสากล และพัฒนาการออกแบบระบบเบรกรถยนต์ของไทยในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาการนำผ้าเบรกที่ผลิตขึ้นออกไปทดสอบประสิทธิภาพยังต่างประเทศซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงครั้งละ 150,000 บาท ( ไม่รวมค่าขนส่ง ) และต้องใช้ระยะเวลานานถึง 30 วัน ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผ้าเบรกของไทยมาโดยตลอด

ทั้งนี้ ในการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับจังหวัด ครั้งที่ 3)” ระหว่างวันที่ 9-10 มีนาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมลองบีช ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อหารูปแบบการดำเนินงานบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสมร่วมกับกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร โดยมี ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธาน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้กว่า 250 คน ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนท้องถิ่น และภาคประชาชน

ในโอกาสนี้ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำคณะผู้บริหารจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และคณะติดตาม เดินทางเข้าเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการเพื่อการวิจัยและทดสอบการผลิตชิ้นส่วนเบรกรถยนต์ของบริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ต.หนองชุมพล อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี เพื่อรับทราบถึงประโยชน์ที่ได้จากการเข้ารับบริการสนับสนุนจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP ) และโครงการสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมภาคเอกชน (CD) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่ปี 2547 มาจนถึงปัจจุบัน

ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวภายหลังการเยี่ยมชมว่า การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปถ่ายทอดให้กับภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการไทยและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และยังเป็นการสนองตอบนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเห็นความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับเศรษฐกิจชุมชน เกษตร อุตสาหกรรม และการบริการ

“ กิจกรรมการสนับสนุนภาคเอกชนของโครงการ iTAP ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. ถือเป็นโครงการที่ดี ที่เชื่อมโยงการนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปร่วมมือกับภาคเอกชน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับเอกชน เช่นเดียวกับบริษัท คอนแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ได้มีการเตรียมพร้อมในการนำองค์ความรู้เข้าไปเพิ่มศักยภาพอย่างต่อเนื่อง จนบริษัทเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 25 ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกเช่นนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจที่เกิดจากฝีมือของคนไทย ซึ่งทางกระทรวงฯ ยังต้องการเห็นการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้กับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้นด้วยกิจกรรมการสนับสนุนภาคเอกชนของ สวทช. ให้กระจายออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศมากขึ้น ” รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าว

นายมีชัย ศรีวิบูลย์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เติบโตขึ้นจากการเป็นผู้ผลิตผ้าเบรกขนาดเล็ก ปัจจุบันสามารถผลิตป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือ OEM ได้เพราะจากการที่บริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และยกระดับเทคโนโลยีมานานกว่า 7 ปี ด้วยการสนับสนุนและช่วยเหลือจากโครงการ iTAP (สวทช.) ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก ซึ่งจะเห็นได้จากยอดขายของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นจาก 200 ล้านบาทเมื่อปี 2547 เป็น 310 ล้านบาทในปี 2551 มีพนักงานมากกว่า 500 คน และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม 700,000 ชิ้นในปี 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 1,500,000 ชิ้นในปี 2551

นอกจากนี้ ยังลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์เบรกจากต่างประเทศได้ถึง 1,050,000 ชุดต่อปี ลดค่าใช้จ่ายในการส่งผลิตภัณฑ์เบรกออกไปทดสอบคุณภาพในต่างประเทศได้ถึง 15 ล้านบาทต่อปี และจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ ช่วยเพิ่มศักยภาพในการส่งออกจากเดิม 95 : 5 (ในประเทศ : ต่างประเทศ ) เป็น 70 : 30 โดยกระจายไปยัง 30 ประเทศทั่วโลกได้อย่างมั่นใจ คาดว่า จะมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ต่อปี

โดยความช่วยเหลือที่บริษัทฯได้รับจากโครงการ iTAP ในด้านของเงินสนับสนุนและจัดหาผู้เชี่ยวชาญจากทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ ประกอบด้วย การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตผ้าเบรกชนิดไม่มีแร่ใยหิน , การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตผ้าเบรกชนิดไม่มีแร่ใยหินสำหรับรถยนต์นั่ง 4 ล้อ และรถกระบะ , การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตผ้าเบรกชนิดไม่มีแร่ใยหินสำหรับรถขนาดใหญ่ , การพัฒนาความรู้พื้นฐานด้านวัตถุดิบและกระบวนการผลิตเพื่อเตรียมพร้อมในการวิจัยและพัฒนาผ้าเบรก , การพัฒนาลดต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผ้าเบรกชนิดไม่มีแร่ใยหิน , การถ่ายทอดเทคโนโลยีการประเมินประสิทธิภาพผ้าเบรก และ การศึกษาผลกระทบและประสิทธิภาพผ้าเบรกเชิงเสียงรบกวนและสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน

สำหรับการจัดตั้งศูนย์วิจัยและทดสอบผ้าเบรกนั้น บริษัทฯ ได้รับสนับสนุนด้านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จากโครงการ CD เป็นเงินจำนวน 26.85 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องเบรกไดนาโมมิเตอร์ ( Brake Dynamoteter ) จากประเทศญี่ปุ่น และจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัยและทดสอบการผลิตชิ้นส่วนเบรกรถยนต์ เพื่อใช้ทดสอบประสิทธิภาพผ้าเบรกที่บริษัทพัฒนาขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งและ OEM ซึ่งเครื่องดังกล่าวสามารถทดสอบแรงเสียดทานของเบรกชนิดต่างๆ สามารถจำลองทุกสถานการณ์ในการเบรกได้อย่างถูกต้องแม่นยำควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานสากล และสามารถรู้ผลการประเมินได้ในเวลาเพียง 3 วัน จากเดิมที่ต้องส่งออกไปทดสอบในต่างประเทศนานถึง 30 วัน ทำให้การปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รวดเร็วขึ้น และ สามารถแข่งขันกับตลาดได้มากขึ้น

“ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโลก แม้จะทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนต่างประสบปัญหาอย่างหนัก แต่ยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้าง เช่น เรื่องของราคาน้ำมัน , มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ และการที่ยังมีคนใช้รถใช้ถนนอยู่ ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้มองว่าเป็นโอกาสดีของบริษัท เพราะผลิตภัณฑ์ที่ดีได้คุณภาพมาตรฐานระดับสากล ( ISO/TS16949) ที่ทั่วโลกยอมรับและมีราคาถูกคุ้มค่าจะเป็นทางเลือกที่ผู้บริโภคต้องการ เชื่อมั่นว่า ผลจากการลงทุนในการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทฯ มีขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และจะเป็นโอกาสดีของบริษัทในตลาดชิ้นส่วนทดแทน หรือ Aftermarket ” นายมีชัย กล่าว

จากรางวัลที่ได้รับ ไม่ว่า จะเป็น“ Best Green Product Development จากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ( iTAP) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตผ้าเบรกไร้ใยหิน ( Non — Asbestos Organic) รางวัล “sme POWER Awards 2008” จากโครงการ sme POWER และ รางวัล Bualuang SME Awards ในฐานะสถานประกอบการดีเด่นที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการบริหารและการผลิตจาก ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นการการันตีถึงการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โครงการ iTAP

คุณนก โทร.0-2270-1350-4 ต่อ 115

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๗ เม.ย. อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม VICHY LIFTACTIV BRAND PARTNER ตัวแทนประเทศไทย ร่วมงาน 'V.I.C VICHY INTEGRATIVE CENTER' อีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ของแบรนด์ VICHY (วิชี่) อวดลุคเซ็กซี่สุดฮอต สวย ปัง
๒๖ เม.ย. ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๒๖ เม.ย. NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๒๖ เม.ย. แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๒๖ เม.ย. แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๒๖ เม.ย. RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๒๖ เม.ย. ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๒๖ เม.ย. เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๒๖ เม.ย. ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๒๖ เม.ย. ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud