“ทียูเอฟ” โตสวนกระแสวิกฤต ทำกำไรไตรมาสแรกพุ่ง 13%

พุธ ๐๖ พฤษภาคม ๒๐๐๙ ๑๕:๑๙
ทียูเอฟ แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2552 ตัวเลขกำไรและยอดขายเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจโลก โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 13% ยอดขายรูปเงินบาทโต 15% และยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐโตขึ้น 4% แสดงถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง มั่นใจยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมยืนยันปรับเป้าเติบโตสำหรับยอดขายรูปเงินบาทปีนี้จาก 8-10% เป็น 15%

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย เผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2552 ว่า บริษัทสามารถสร้างอัตราการเติบโตของกำไร ยอดขายในรูปเงินบาท และยอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น นับเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี บริษัทยังสามารถทำกำไรสุทธิเท่ากับ 653 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 578 ล้านบาท และสามารถทำรายได้จากการขายในรูปเงินบาทเท่ากับ 17,666 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนที่เท่ากับ 15,416 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐก็เติบโตขึ้น 4 % จากยอดขายไตรมาส 1 ปี 2551 ที่เท่ากับ 478 ล้านเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 499 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2552 ขณะเดียวกันรายได้รวมในไตรมาสนี้ก็เพิ่มขึ้นจาก 15,988 ล้านบาท ในปี 2551 มาอยู่ที่ 17,889 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12%

“ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกนี้ บริษัทยังคงมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงเวลานั้น ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงปัญหาที่ทั่วโลกยังต้องเผชิญในเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจ แต่บริษัทยังสามารถทำยอดขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐได้เพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายในรูปของเงินบาทก็ยังมีการเติบโตขึ้นถึง 15% เช่นเดียวกัน และจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนลงถึง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จึงส่งผลดีต่อยอดขายรูปเงินบาทในอีกทางหนึ่ง และสำหรับในไตรมาสนี้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 และในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2551 นอกจากความสามารถในการบริหารผลกำไรจากการดำเนินงานแล้ว บริษัทยังสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี ซึ่งจะเห็นได้ชัดในเรื่องของการบริหารทางการเงินที่ดีขึ้น เช่น การลดลงของสินค้าคงคลัง ส่งผลให้มีหนี้ที่ลดลง รวมถึงการควบคุมต้นทุนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วส่งผลให้กำไรสุทธิของไตรมาสนี้ดีกว่าปีที่แล้ว”

สำหรับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสแรกนี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ามีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทคือ 48% รองลงมาได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 17% ตามด้วยอาหารแมวบรรจุกระป๋อง 10% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 9% ปลาซาร์ดีนและแมคเคอเรลบรรจุกระป๋อง 5% ขายในประเทศ 4% อาหารกุ้ง 4% และปลาหมึกแช่แข็ง 3% โดยมีตลาดส่งออกหลักอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา 51% รองลงมาคือ สหภาพยุโรป 15% ญี่ปุ่น 11% อัฟริกา 6% ออสเตรเลีย 3% เอเชีย 2% ตะวันออกกลาง 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1%

ทั้งนี้นายธีรพงศ์ ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งจากภายในประเทศและภายนอกประเทศว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการส่งออกอย่างชัดเจน จากตัวเลขภาพรวมการส่งออกช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ที่ติดลบถึง 20.6% ทำให้ทุกคนวิตกกังวลและเป็นห่วงเกี่ยวกับภาคการส่งออกของไทย แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้กระทบในทุกๆ ภาคของการส่งออก ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารนั้น แม้ว่าอำนาจการซื้อและการบริโภคจะชะลอลงกว่าเดิม แต่ก็ยังมีแนวโน้มของการเติบโตอยู่ เนื่องจากสินค้าอาหารเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการบริโภค สำหรับทียูเอฟนั้น เรายังเชื่อมั่นถึงโอกาสในการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โอกาสในการสร้างยอดขายและสร้างผลกำไรสำหรับ 3 ไตรมาสที่เหลือ ด้วยจุดแข็งทางด้านการมีฐานการตลาดที่แข็งแกร่ง เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในส่วนของผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม และจุดแข็งของบริษัทที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การมีกลุ่มพันธมิตรที่มีความเข้มแข็งและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการมีนโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีศักยภาพ และมีการควบคุมในเรื่องของต้นทุนต่างๆ อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี บริษัทมั่นใจว่า จุดแข็งต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายให้เติบโตบรรลุตามเป้าที่วางไว้ 15% ในปีนี้”

และกรณีของไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกที่กำลังเป็นที่วิตกไปทั่วโลกนั้น ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกอะไรที่จะส่งผลกระทบกับบริษัท เนื่องจากสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าประเภทอาหารทะเล และในทางกลับกันผู้บริโภคอาจจะหันมาบริโภคอาหารทะเลแทน แต่อย่างไรก็ดี สำหรับในเรื่องนี้ ทางบริษัทได้ให้ความสำคัญและมีการติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด นายธีรพงศ์กล่าวเสริม

และนายธีรพงศ์ยังกล่าวต่อว่า “และจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก ทำให้บริษัท ไทร-ยูเนี่ยน ซีฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของทียูเอฟ ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า “Chicken of the Sea” มีแผนงานที่จะพัฒนาในเรื่องของกระบวนการซัพพลายเชนและการบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยบริษัทมีแผนจะตั้งโรงงานใหม่ที่รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีแผนจะปรับโครงสร้างโรงงานที่อเมริกันซามัว ซึ่งแผนงานดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้นอีกด้วย”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ

Auranut Simasanti

โทร. 02-298-0024, 02-298-0537-41 ต่อ 676

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๔ พ.ค. Siriraj Education Expo 2024 ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับศิริราช พร้อมยกระดับทางการแพทย์ให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคน
๐๓ พ.ค. ครั้งแรก! งานเทศกาลคอนเทนต์ LGBTQ ฉลองความเท่าเทียมทางเพศ THAILAND INTERNATIONAL LGBTQ FILM TV FESTIVAL 2024 ปักหมุดเตรียมพบกัน กันยายนนี้
๐๓ พ.ค. โน วัน เอลส์ ส่ง 3 เพลงรัก 3 สไตล์! ผ่านมิวสิกซี่รีย์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น
๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง