บริษัทจดทะเบียนทำกำไรปี 2552 กว่าสี่แสนสี่หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปี 2551

ศุกร์ ๐๕ มีนาคม ๒๐๑๐ ๐๘:๐๘
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ทำกำไรงวดปี 2552 รวมกัน 446,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 42% และมียอดขายรวม 6,389,596 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มียอดรวมกำไรสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยมี PTT SCC PTTEP BBL และ SCB เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก โดย ณ 3 มี.ค. 2553 บริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายปันผลแล้ว 291 บริษัทในอัตราเฉลี่ยสูงถึง 4%

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 541 บริษัท หรือ 96% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 561 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 26 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 แล้ว โดยมีกำไรสุทธิรวมกัน 446,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 313,707 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42%

สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินประจำปี 2552 จำนวน 482 บริษัท (จากทั้งหมด 501 บริษัท) มีกำไรสุทธิรวม 444,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปี 2551 โดยมียอดขายรวม 6,339,785 ล้านบาท ลดลง 14% จากปี 2551

“ด้วยความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจ อีกทั้งความสามารถของผู้ประกอบการที่มีการปรับกลยุทธ์การบริหารงาน ทำให้ บริษัทจดทะเบียนโดยรวมมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 42% ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียน 291 บริษัท ประกาศจ่ายเงินปันผลสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2552 ด้วยอัตราเฉลี่ยสูงถึง 4% (ณ 3 มี.ค.2553)” นางภัทรียากล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2552 ของ SET และ mai มีกำไรสุทธิรวม 114,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 96,446 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 219% โดยส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มทรัพยากร กลุ่มบริการ และกลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิ 29,356 ล้านบาท 15,508 ล้านบาท และ 4,543 ล้านบาท เนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 391,016 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อน โดยมียอดขายลดลง16% ขณะที่ต้นทุนขายลดลง 19 % ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จาก 16% จากปีก่อนเป็น 19%

สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

ทั้งนี้ ภาพรวมของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) (ที่นำส่งงบการเงินและไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) จำนวนรวม 461 บริษัท มีกำไรสุทธิ 444,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43% สำหรับผลการดำเนินงานปี 2552 เรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้

1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ รวม 26 บริษัท มีกำไรสุทธิ 158,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% จากปี 2551

2. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 101,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2551 โดยไม่มีธนาคารใดที่มีผลขาดทุนสุทธิ ทั้งนี้ เฉพาะธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 91,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2551

ส่วนบริษัทในหมวดธุรกิจหลักทรัพย์ มีกำไรสุทธิรวม 2,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,789 ล้านบาทหรือ 290% จากการเพิ่มขึ้นของค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์สืบเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันของปี 2552 ที่เพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีก่อน

3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ส่งงบการเงิน 109 บริษัทจาก 116 บริษัท มีกำไรสุทธิ 68,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54 % จากปี 2551

4. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 37,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2551

5. กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 35,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88% จากปี 2551

6. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วย หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 29,622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากปี 2551

7. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 6,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2551

8. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วย หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 6,170 ล้านบาท ลดลง 50% จากปี 2551 สาเหตุจากหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักรมีผลขาดทุนสุทธิ 13,366 ล้านบาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222

สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229-2036 / กนกวรรณ เข็มมาลัย โทร. 0-2229-2048/ ณัฐยา เมืองแมน โทร. 0-2229-2043/

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๖:๒๙ ม.วลัยลักษณ์ร่วมจัดเวิร์กช้อปให้แก่เกษตรกร ภายใต้โครงการฟื้นฟูพัฒนาศักยภาพลูกค้าพักชำระหนี้ของ ธ.ก.ส.
๑๖:๐๕ คริส - พีรวัส และสิงโต - ปราชญา ขึ้นปกแพรวฉบับ พ.ค. 67 ครั้งแรก และร่วมสนุกเป็นผู้โชคดีรับกระเป๋า FUNDAO ในคอลัมน์ WIN
๑๖:๑๙ ทีทีบี จัดทัพผลิตภัณฑ์การเงินช่วยคนไทยพิชิตหนี้ พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษ ในงานมหกรรมการเงินครั้งที่ 24
๑๖:๑๐ ทุกวันนี้ Adenovirus ไม่ใช่โรคที่มาใหม่ แต่เป็นม้ามืดที่จัดว่าน่ากังวลในเด็กเล็ก
๑๖:๓๙ นิตยสารชีวจิต จัดโรดโชว์ Happy Life by ชีวจิต 2024 Season 14 จับมือ 10 รพ. ชั้นนำ
๑๖:๑๘ คณะวิศวะฯ มทร.ธัญบุรี เน้นใช้เอไอร่วมกับโรบอท เพื่อสร้างงานวิศวกรรมสมัยใหม่
๑๖:๔๐ งานสัมมนาออนไลน์ HR ปรับนิด สะกิดหน่อย ธุรกิจเปลี่ยน ทันต่อโลกในยุค Digital Era
๑๖:๔๔ Acer เปิดตัว Predator Helios Neo 14 เกมมิ่งโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ มาพร้อม Intel Core Ultra และ Acer Nitro 16 เกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Intel Core 14 th
๑๖:๓๗ ท็อปส์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดงาน Discover the Spanish Fiesta ครั้งแรกของการคัดสรรสินค้า-วัตถุดิบชั้นเลิศจากสเปนไว้อย่างครบครันที่สุด
๑๖:๓๕ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประกาศความพร้อมในงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 พร้อมเปิดประตูสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียน พบนวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ๆ จากผู้ผลิตกว่า1,500