พลัส พร็อพเพอร์ตี้ สรุปสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก 53 ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดฯยังเติบโตอย่างน่าจับตามอง ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านครองแชมป์ขายดี ส่วนตลาดอพาร์ทเม้นต์และสำนักงานยังทรงตัว

ศุกร์ ๒๗ สิงหาคม ๒๐๑๐ ๑๕:๐๐
ฝ่ายวิจัยและพัฒนา พลัส พร็อพเพอร์ตี้ สรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก 53 ชี้ ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมยังเติบโตต่อ คาดครึ่งปีหลังมีโครงการเกิดใหม่ต่อเนื่อง พร้อมมี การขยับราคาขาย ในขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทยังคงเป็นที่ต้องการมากสุดในตลาด และครึ่งปีหลังส่วนใหญ่จะมีการพัฒนาเป็นโครงการขนาดใหญ่ สำหรับตลาดอพาร์ทเม้นต์/เซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ และอาคารสำนักงานโดยรวมยังทรงตัว

ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้สรุปผลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยโดยรวมในครึ่งปีแรก 2553 พบว่า ส่วนใหญ่ยังมีอัตราเติบโตชัดเจนอย่างมากในตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม ซึ่งหากพิจารณาถึงตลาดทาวน์เฮ้าส์ สามารถสรุปได้ว่า ทาวน์เฮ้าส์เปิดใหม่ โตสวนกระแสเศรษฐกิจ โดยมีโครงการเปิดตัวใหม่ 67 โครงการ จำนวน 8,105 ยูนิต เพิ่มขึ้น 111% (เพิ่มขึ้น 4,264 ยูนิต) เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลัง 2552และเพิ่มขึ้นถึง155%(เพิ่มขึ้น4,931 ยูนิต) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จำนวนยูนิตเสนอขายส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ทางทิศเหนือ 2,575 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 32% จากจำนวนทาวน์เฮาส์เปิดใหม่ทั้งหมด เน้นเสนอขายบริเวณ ถ.พหลโยธิน และ คลองหลวง-ปทุมธานี รองลงมาได้แก่ ทิศตะวันตก 2,234 ยูนิต สัดส่วน 28% และ ทิศตะวันออก 1,271 ยูนิต สัดส่วน 16% เป็นต้น โครงการเปิดตัวใหม่กว่า 10 โครงการ เป็นทาวน์เฮ้าส์ที่มีราคาเสนอขายเริ่มต้นไม่เกิน 1.2 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการได้เริ่มกลับเข้าสู่ตลาด เพื่อพัฒนาโครงการสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มขึ้น สอดคล้องตามเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ซื้อ ในปัจจุบัน อุปสงค์เติบโตต่อเนื่อง ตอบรับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อุปสงค์ในตลาดทาวน์เฮ้าส์ ช่วงครึ่งปีแรก 2553 มีจำนวนยูนิตขายได้เพิ่มขึ้น 45% (เพิ่มขึ้น 3,753 ยูนิต) จากครึ่งปีหลัง 2552 และเพิ่มขึ้น 92% (เพิ่มขึ้น 5,783 ยูนิต) จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 12,051 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 51% จากจำนวนยูนิตเสนอขายทั้งหมด อัตรายอดขายโดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อโครงการในปัจจุบัน อยู่ที่ 7.2 ยูนิต พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น 2.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา แสดงว่าการใช้มาตรการกระตุ้นธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล มีส่วนสำคัญที่ทำให้ปริมาณอุปสงค์เติบโตได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์ราคาถูก เพื่อสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ได้มีโอกาสซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ปริมาณอุปสงค์ของตลาด ทาวน์เฮ้าส์เติบโตสูงขึ้นชัดเจน จำนวนยูนิตเสนอขายเติบโตสูงเกิน 40% จากช่วงเดียวกัน ในปี 52 ทาวน์เฮ้าส์ต่ำกว่า 1 ล้านบาท มาแรงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น 14% ผู้ประกอบการรายใหญ่ชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 57%

ด้านตลาดคอนโดมิเนียม พบว่า จำนวนห้องชุดสร้างเสร็จในตลาดคอนโดมิเนียมช่วงครึ่งปีแรก 2553 พบว่า มีจำนวนห้องชุดสร้างเสร็จทั้งสิ้น 41 โครงการ จำนวน 19,128 ยูนิต เติบโตสูงสุดในพื้นที่รัชดาภิเษก 34,707 ยูนิต รองลงมาคือพื้นที่สุขุมวิทรอบนอก 32,600 ยูนิต และพื้นที่สุขุมวิท 25,180 ยูนิต เป็นต้น ส่งผลให้ห้องชุดสร้างเสร็จสะสมสูงขึ้นเป็น 212,468 ยูนิต เติบโตขึ้น 10% จากทั้งปี 2552 แสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องของผู้ประกอบการที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สามารถก่อสร้างและโอนห้องชุดได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ จำนวนยูนิตสร้างเสร็จส่วนใหญ่อยู่ในโซนชั้นนอก (พื้นที่สุขุมวิทรอบนอก, ธนบุรี, นนทบุรี เป็นต้น) อยู่ที่ 93,275 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 44% เพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปี 2552 รองลงมาคือ โซนชั้นกลาง (พื้นที่พระราม 3, พญาไท, พหลโยธิน, และรัชดาภิเษก) อยู่ที่ 78,351 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 37% ลดลง 2% จากสิ้นปี 2552 และพื้นที่โซนชั้นใน (พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ และสุขุมวิท) อยู่ที่ 40,842 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 19% ลดลง 1% จากสิ้นปี 2552 และคาดว่ายังมีจำนวนยูนิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกกว่า 77,000 ยูนิต ที่จะส่งผลให้ภายในปี 2556 อุปทานสร้างเสร็จสะสมจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 37% อุปทานใหม่ครึ่งปีแรกเปิดเพิ่มกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2552 จำนวนอุปทานเสนอขายใหม่ช่วงครึ่งปีแรก 2553 มีจำนวน 25,301 ยูนิต จาก 74 โครงการ เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 173% หรือ 16,035 ยูนิต เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2552 แม้จะประสบปัญหาจากสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ต้องเลื่อนระยะเวลาการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปบ้าง โดยผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย ยังคงครองส่วนแบ่งในตลาดที่ 60% และ 40% ตามลำดับ ทั้งนี้ สัดส่วนการพัฒนาโครงการใหม่สูงสุด อยู่ในพื้นที่รอบนอก อาทิเช่น พื้นที่นนทบุรี, มีนบุรี, รามคำแหง เป็นต้น จำนวน 9,817 ยูนิต เป็นผลจากการพัฒนาห้องชุดขนาดเล็กเป็นจำนวนมากในหลายโครงการ รองลงมาคือ พื้นที่รัชดาภิเษก จำนวน 5,135 ยูนิต และพื้นที่ธนบุรี จำนวน 2,455 ยูนิต เป็นต้น หากพิจารณาอัตราการเติบโตเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2552 พบว่า พื้นที่พระราม 3 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงสุด 25 เท่า มาอยู่ที่ 1,634 ยูนิต เนื่องจากการเปิดให้ใช้บริการของระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ BRT เส้นทางช่องนนทรีย์-ราชพฤกษ์ ที่สามารถนำมาใช้เป็นจุดขายได้โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนพระราม 3 ที่อยูใกล้สถานี BRT อีกทั้งโอกาสในการลงทุนของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนคู่แข่งที่มีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ดังเช่นพื้นที่ในบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงส่งผลให้ มีการพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น รองลงมาคือ พื้นที่ธนบุรี เพิ่มขึ้น 13 เท่า มาอยู่ที่ 2,455 ยูนิต และพื้นที่รัชดาภิเษก เพิ่มขึ้น 5 เท่า มาอยู่ที่ 5,135 ยูนิต เป็นต้น ด้านอุปทานเสนอขายเติบโตสูงขึ้น 46% อุปทานเสนอขายห้องชุดใน 8 พื้นที่ ช่วงครึ่งปีแรก 2553 มีจำนวน 29,708 ยูนิต ลดลง 3% จากครึ่งปีหลัง 2552 แต่เพิ่มขึ้นถึง 46% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า เป็นผลจากผู้ประกอบการในตลาดห้องชุดเริ่มปรับตัวต่อสภาพเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยแวดล้อมภายนอกได้ดีขึ้นกว่าปีก่อน จึงเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2552 โดยพื้นที่รัชดาภิเษก มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูงสุด 8,298 ยูนิต เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้สะดวก รองลงมาได้แก่ พื้นที่ธนบุรี จำนวน 6,083 ยูนิต และพื้นที่สุขุมวิท จำนวน 4,294 ยูนิต เป็นต้น โดยพบว่า พื้นที่รัชดาภิเษก, ธนบุรี และพหลโยธิน มีจำนวนยูนิตเสนอขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2552 อยู่ที่ 108%, 106% และ 85% ตามลำดับ ในขณะที่พื้นที่สุขุมวิทรอบนอก จำนวนยูนิตเสนอขายลดลง 25% เนื่องจาก บางโครงการหยุดการเสนอขายในรอบนี้ รองลงมาคือพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (เพลินจิต-ชิดลม และสีลม-สาทร) ลดลง13% และพื้นที่พญาไท ลดลง 11% เป็นต้น ยอดขายห้องชุดเติบโตดีขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จำนวนยอดขายสะสมใน 8 พื้นที่ ช่วงครึ่งปีแรก 2553 อยู่ที่ 16,403 ยูนิต เพิ่มขึ้น 7% จาก ครึ่งปีหลัง 2552 และเติบโตดีขึ้นถึง 223% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า เป็นผลจากนโยบาย การลดค่าธรรมเนียมการโอนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีการต่ออายุมาจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2553 ประกอบกับลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน โดยพื้นที่รัชดาภิเษก มีจำนวนยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุด 11.24 เท่า เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2552 มาอยู่ที่ 5,276 ยูนิต ซึ่งยอดขายกว่า 50% เป็นของโครงการเปิดใหม่ในรอบนี้ ด้วยข้อได้เปรียบด้านศักยภาพของพื้นที่ และราคาขายโดยเฉลี่ยที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่น ๆ ที่มีรูปแบบโครงการคล้ายคลึงกัน จึงทำให้มีอุปสงค์ตอบรับเป็นจำนวนมาก รองลงมาคือ พื้นที่พระราม 3 เพิ่มขึ้น 8.47 เท่า มาอยู่ที่ 1,345 ยูนิต และพื้นที่พหลโยธิน เพิ่มขึ้น 3.41 เท่า มาอยู่ที่ 1,883 ยูนิต เป็นต้น ในขณะที่พื้นที่สุขุมวิทรอบนอกมียอดขายลดลง 3% มาอยู่ที่ 1,677 ยูนิต อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่รัชดาภิเษก ยังมียอดขายได้สูงสุด 5,276 ยูนิต รองลงมาคือพื้นที่ธนบุรี 3,291 ยูนิต และพื้นที่สุขุมวิท 2,265 ยูนิต เป็นต้น ราคาขายรวมเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% จากสิ้นปี 2552 เมื่อพิจารณาด้านราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของห้องชุดในช่วงครึ่งปีแรก 2553 พบว่า ราคาขายรวมเฉลี่ยใน 5 พื้นที่ พบการปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% จากสิ้นปี 2552 หรือเพิ่มขึ้น 5,848 บาทต่อตารางเมตร มาอยู่ที่ 106,062 บาทต่อตารางเมตร โดยพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (เพลินจิต-ชิดลม และสีลม-สาทร) ปรับราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 13% มาอยู่ที่ 153,562 บาทต่อตารางเมตร เป็นผลจากการปรับราคาขายขึ้นภายหลังจากการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ และมีการกลับมาเปิดขายใหม่อีกครั้งของโครงการในพื้นที่ดังกล่าว จึงส่งผลให้ราคาขายโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น รองลงมาคือพื้นที่พระราม 3 เพิ่มขึ้น 9% มาอยู่ที่ 82,876 บาทต่อตารางเมตร และพื้นที่พญาไท เพิ่มขึ้น 8% มาอยู่ที่ 103,146 บาทต่อตารางเมตร มีเพียงพื้นที่พหลโยธินที่ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวลดลง 5% มาอยู่ที่ 81,153 บาทต่อตารางเมตร เป็นผลจากโครงการเปิดตัวใหม่มีราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำกว่าโครงการอื่นๆ ในพื้นที่ จึงทำให้ราคาขายรวมเฉลี่ยลดลง สำหรับพื้นที่สุขุมวิทราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรยังคงที่ อยู่ที่ 109,575 บาทต่อตารางเมตร

เมื่อวิเคราะห์ในส่วนตลาดบ้านเดี่ยว พบว่า ด?านยอดขายโครงการเป?ดตัวใหม? ส?วนใหญ?มียอดขายได?เกินกว?า 50% ของจํานวนยูนิตที่เป?ดขาย พื้นที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือมียอดขายสูงสุด 72% รองลงมาคือ พื้นที่ทิศเหนือ 65% และทิศตะวันออก 64% อุปทานในช?วงครึ่งป?แรก 2553 มีจํานวนรวม 16,342 ยูนิต โดยพื้นที่ทิศเหนือมี จํานวนสูงสุด 4,893 ยูนิต รองลงมาคือ ทิศตะวันตก 4,324 ยูนิต ด?านระดับราคาเสนอขายในช?วงครึ่งป?แรก 2553 ยังเน?นราคา 3 — 5 ล?านบาท มีจํานวนยูนิตเสนอขายสูงสุด อยู?ที่ 8,839 ยูนิต และมียอดขายได?สูงสุดเช?นเดิมอยู?ที่ 3,563 ยูนิต ส?วนใหญ?อยู?บริเวณทิศตะวันตก รองลงมาคือ ราคา 5 — 6 ล?านบาท มียอดขายได?ที่ 1,425 ยูนิต และราคา 7-10 ล?านบาท ยอดขายได?ที่ 821 ยูนิต

และผลการวิจัยส่วนสุดท้ายคือ ตลาดอพาร์ทเม้นต์, เซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ และอาคารสำนักงาน พบว่า ภาพรวมหลักๆ ยังไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา โดยตลาดอพาร์ทเม้นต์ มีอุปทานสะสมลดลงเล็กน้อย 0.34% เพื่อปรับรูปแบบใหม่ อุปสงค์รวมเฉลี่ย เติบโตขึ้นเล็กน้อยเพียง 2% อัตราการเข้าพักในตลาด อพาร์ตเม้นต์เกรดเอ และเกรดบี เติบโตดีขึ้น 2 — 4% ค่าเช่าในตลาดเกรดเอลดลง 5% แต่เกรดบีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนตลาดเซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์นั้น มีโครงการเปิดดำเนินการใหม่ 15 โครงการ จำนวน 1,490 ยูนิต ส่วนใหญ่เปิดดำเนินการในพื้นที่สุขุมวิทชั้นใน (ซ.สุขุมวิท1-71) ตอบรับกับอุปสงค์ที่มีความต้องการต่อเนื่องในพื้นที่นี้ อัตราการเช่าเฉลี่ยรวมอยู่ในภาวะทรงตัว เติบโตขึ้นเล็กน้อยเพียง 1% ค่าเช่าเฉลี่ยครึ่งปีแรก 2553 ยังทรงตัวจากปี 2552 และส่วนสุดท้ายตลาดอาคารสำนักงาน จากการสำรวจตลาดอาคารสำนักงานช่วงครึ่งปีแรก 2553 พบการเติบโตของอุปทานเปิดใหม่ จำนวน 5 อาคาร ได้แก่ อาคารโกลเด้นแลนด์ บิวดิ้ง, อาคารปิยะเพลส, อาคารเอ็มเค บิวดิ้ง, อาคารพหลโยธิน เซ็นเตอร์ และอาคารทศพลแลนด์ 3 ปริมาณการเช่าเฉลี่ยเพิ่ม 1% จากปีก่อนหน้า อัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานในศูนย์กลางธุรกิจ ทั้งเกรดเอและเกรดบี ยังทรงตัว ค่าเช่าพื้นที่สำนักงานรวมเฉลี่ยยังทรงตัวในเกรดเอ แต่ค่าเช่าเฉลี่ยของตลาดเกรดบีลดลง 7%

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มในครึ่งปีหลัง 2553 คาดว่า ตลาดทาวน์เฮ้าส์ จะมีอุปทานใหม่อีกกว่า 8,000 ยูนิต ซึ่งจะสามารถดูดซับได้ภายใน 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบและทำเลที่อยู่ในความต้องการของผู้ซื้อ ด้านตลาดคอนโดมิเนียม ประเมินแนวโน้มใน1-2 ปีนับจากนี้ จะมีอุปทานใหม่ที่เตรียมเสนอขายอีกไม่ต่ำกว่า 40,000 ยูนิต คาดว่าจะดูดซับได้หมดภายใน 5 เดือน หากอุปสงค์ยังเติบโตดีในระดับนี้ แนวโน้มการพัฒนาโครงการใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่สุขุมวิท รัชดาภิเษก และธนบุรี และคาดว่ายังมีอุปทานใหม่อีกส่วนหนึ่งที่เตรียมเสนอขายตอบสนองความต้องการของผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ตามการส่งเสริมการลงทุนของ BOI. และคาดว่าไม่ส่งผลกระทบกับราคาขายเฉลี่ยโดยรวมของทั้งตลาด ซึ่งหากสถานการณ์เติบโตได้ดีขึ้นตามลำดับ ระดับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียม โดยภาพรวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 3-7% ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ด้านตลาดบ้านเดี่ยว ในอนาคตช?วงครึ่งป?หลัง 2553 คาดว?า ตลาดบ?านเดี่ยว ยังมียูนิตเตรียมเสนอขายอีกกว?า 2,000 ยูนิต อยู?ในพื้นที่หทัยราษฏร? วัชรพล และรามอินทรา ราคาขายอยู? ในช?วง 3 — 5 ล?านบาท ส่วนตลาดอพาร์ทเม้นต์ เซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ และอาคารสำนักงานนั้น คาดว่าจะยังทรงตัวต่อเนื่องไปอีกระยะ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๔ พ.ค. Siriraj Education Expo 2024 ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับศิริราช พร้อมยกระดับทางการแพทย์ให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคน
๐๓ พ.ค. ครั้งแรก! งานเทศกาลคอนเทนต์ LGBTQ ฉลองความเท่าเทียมทางเพศ THAILAND INTERNATIONAL LGBTQ FILM TV FESTIVAL 2024 ปักหมุดเตรียมพบกัน กันยายนนี้
๐๓ พ.ค. โน วัน เอลส์ ส่ง 3 เพลงรัก 3 สไตล์! ผ่านมิวสิกซี่รีย์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น
๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง