ผลสำรวจเผยธุรกิจไทยขึ้นเงินเดือนพนักงานเท่ากับหรือสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ

พฤหัส ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๓ ๑๖:๔๙
ผลสำรวจทัศนคติของนักธุรกิจทั่วโลกเผยว่าธุรกิจในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (BRIC) ที่คาดว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานในระดับที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อนั้นมีจำนวนลดลงอย่างมากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยเป็นข้อมูลจากรายงานผลการสำรวจธุรกิจนานาชาติของแกรนท์ ธอร์นตัน (The Grant Thornton International Business Report: IBR) ซึ่งสนับสนุนข้อพิสูจน์ว่าธุรกิจในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังดำเนินการ/ลดต้นทุนด้วยการจำกัดเพดานการขึ้นเงินเดือนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันที่มีเหนือกว่าคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วตลอดมา

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยไม่ได้ดำเนินการตามกระแสดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นในทั่วโลก และส่วนมากจะยังคงขึ้นเงินเดือนพนักงานให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ

รายงาน IBR ระบุว่าสัดส่วนของกลุ่มเศรษฐกิจ BRIC ที่คาดว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานในระดับที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 11% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2012 ซึ่งลดลงจาก 21% เมื่อ 12 เดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ในละตินอเมริกา (จาก 32% เหลือ 20%) และเอเชียแปซิฟิก1 (จาก 20% เหลือ 12%) ก็ลดลงเช่นเดียวกัน ส่วนประเทศในกลุ่ม G7 (จาก 10% เพิ่มขึ้นเป็น 11%) และ EU (จาก 9% เพิ่มขึ้นเป็น 12%) คาดว่าจะมีการเพิ่มเงินเดือนในระดับที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลาเดียวกัน

เอ็ด นุสบอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แกรนท์ ธอร์นตัน อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "ข้อพิสูจน์ว่าความได้เปรียบทางการแข่งขันที่กลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่มีเหนือกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังเปลี่ยนไป คือการที่ประเทศต่างๆ นำภาคการผลิตกลับมายังประเทศของตน (Reshoring) ซึ่งเห็นได้เด่นชัดในสหรัฐอเมริกา เพราะการเพิ่มขึ้นของค่าแรงในอัตรา 10-20% ต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ เช่น ประเทศจีนและอินเดีย ในขณะที่ระดับเงินเดือนในสหรัฐฯ ยังค่อนข้างคงที่ ทำให้ต้นทุนในการว่าจ้างบุคลากรจากภายนอก (Outsourcing) เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว"

"ธุรกิจในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่เริ่มมีการปรับตัวเพราะอัตราค่าแรงได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในระยะหลายปีที่ผ่านมา หากพิจารณาจากกำไรแล้วจะดูเหมือนว่าธุรกิจนั้นไม่ยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความไม่แน่นอนเป็นแรงถ่วงอัตราการเติบโตเนื่องจากการค้าทั่วโลกชะลอตัว ดังนั้น เพื่อที่จะรักษาระดับผลกำไร ธุรกิจในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่จึงจำเป็นต้องลดต้นทุนลง ซึ่งการจำกัดเพดานการขึ้นเงินเดือนจึงเป็นวิธีหนึ่ง"

การที่ประเทศจีนมีความได้เปรียบทางการแข่งขันลดน้อยลงในฐานะประเทศที่มีค่าแรงต่ำนั้นเกิดจากการที่ค่าเฉลี่ยรายรับต่อปีเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ในทศวรรษที่ผ่านมา หากค่าเฉลี่ยยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดิม ค่าแรงในสายงานการผลิตจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2017 2 จากปี 2011 อย่างไรก็ตาม รายงาน IBR นำเสนอว่าธุรกิจในประเทศจีนกำลังมองหาทางที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์และรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน - จึงมีธุรกิจเพียง 6% ที่คาดว่าจะเพิ่มเงินเดือนพนักงานให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2013 ซึ่งลดลงจาก 15% ในระยะเวลาเดียวกันของ 12 เดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สัดส่วนของธุรกิจในประเทศจีนที่คาดว่าจะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นนั้นสูงขึ้นจาก 61% เป็น 90% ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ราคาสินค้าในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่คาดว่ามีทั้งสูงขึ้นและลดลง

ธุรกิจในละตินอเมริกาส่งสัญญาณว่าจะลดระดับราคาสินค้าและบริการลง โดยเมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 2011 ธุรกิจจำนวน 48% คาดว่าราคาสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 44% เมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 2012 อย่างไรก็ตาม กลุ่มเศรษฐกิจ BRIC ธุรกิจที่คาดว่าราคาสินค้าและบริการจะสูงขึ้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 38% เป็น 40% และในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นจาก 31% เป็น 41% ในช่วงเวลาเดียวกัน

เอ็ด นุสบอม กล่าวเสริมว่า "การปรับลดราคาสินค้าและค่าจ้างจะช่วยกระตุ้นให้การส่งออกของกลุ่มเศรษฐกิจหนึ่งๆ มีความสามารถในการแข่งขันได้ อย่างไรก็ดี หากระดับเงินเดือนของพนักงานไม่อาจไล่ตามราคาสินค้าที่ตนจะต้องจับจ่ายใช้สอย การบริโภคภายในประเทศย่อมได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มเศรษฐกิจ เช่น บราซิล หรือจีน ที่จะต้องใช้ความพยายามในการกระจายความเสี่ยงจากโมเดลการเติบโตที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักมาสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนที่ได้รับแรงกระตุ้นจากการบริโภคของกลุ่มชนชั้นกลางภายในประเทศ"

ทอม โซเรนเซน พาร์ทเนอร์และหัวหน้าสายงานการจัดจ้างบุคลากรระดับผู้บริหาร ของแกรนท์ ธอร์นตัน ประเทศไทย กล่าวว่า "ธุรกิจในประเทศไทย 19% ระบุว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และ 42% วางแผนจะขึ้นเงินเดือนให้เท่ากับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่น่าคิดเมื่อพิจารณาว่าระดับเฟ้ออยู่ที่อัตราเท่าใด ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อ (Headline Inflation) จากธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่ 3.8% เมื่อปี 2011, 3.0% เมื่อปี 2012, และคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.8% ในปี 2013 และ 2.6% ในปี 2014 มีบริษัทไทยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีความคิดที่จะปรับเงินเดือนพนักงานในระดับที่เท่ากับหรือน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อเหล่านี้ เป็นที่ชัดเจนว่าบริษัทในประเทศไทยดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีความวิตกกังวลกับความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกดังเช่นที่เราเห็นได้ในประเทศจีนและประเทศกำลังพัฒนาประเทศอื่นๆ"

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๔ พ.ค. Siriraj Education Expo 2024 ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับศิริราช พร้อมยกระดับทางการแพทย์ให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคน
๐๓ พ.ค. ครั้งแรก! งานเทศกาลคอนเทนต์ LGBTQ ฉลองความเท่าเทียมทางเพศ THAILAND INTERNATIONAL LGBTQ FILM TV FESTIVAL 2024 ปักหมุดเตรียมพบกัน กันยายนนี้
๐๓ พ.ค. โน วัน เอลส์ ส่ง 3 เพลงรัก 3 สไตล์! ผ่านมิวสิกซี่รีย์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น
๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง