นายนพดล ตัณศลารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO ผู้นำในด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยครบวงจรของไทย (The Leader in Creative & Innovative OHM Solutions Provider) เปิดเผยว่า หลังจากที่หุ้นของบริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตั้งแต่ปี 2546 จนถึงวันนี้ บริษัทฯ ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นจาก 174.999 ล้านบาท เป็น 300.896 ล้านบาท ประกอบกับการขยายตัวด้านรายได้และกำไรสุทธิ ทำให้บริษัทฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนในการย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดหลัก โดยหุ้น MACO ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2556 เป็นต้นไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MACO กล่าวด้วยว่า มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การย้ายเข้าจดทะเบียนและซื้อขายใน SET จะส่งผลดีต่อหุ้นของบริษัทฯ ทั้งในแง่ความสนใจของผู้ลงทุน และสภาพคล่องในการซื้อขายที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่า ที่ผ่านมา นักลงทุนรู้จักและคุ้นเคยกับหุ้นของบริษัทฯ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลังจากที่ MACO เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่ติดอันดับสุดยอด 200 บริษัทขนาดกลางและเล็กในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ Asia's 200 Best Under a Billion ประจำปี 2556 จัดโดยนิตยสาร Forbes Asia ซึ่งพิจารณาจากบริษัทที่มียอดขายเติบโตแข็งแกร่ง การจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสม เพียงแต่การจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย เอ็ม เอ ไอ อาจจะเป็นข้อจำกัดในการลงทุนของนักลงทุนบางกลุ่ม โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ดังนั้น จึงเชื่อว่า หลังจากนี้ไป หุ้น MACO จะได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นจากนักลงทุนอย่างแน่นอน
“การย้ายหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นับเป็นความภาคภูมิใจของเราอย่างมาก ปีนี้เป็นปีที่ดีของ MACO ไม่ว่าจะเป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงการติดอันดับสุดยอดบริษัทขนาดกลางและเล็กของ Forbes Asia ซึ่งเราติดอันดับเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องแล้ว และการคว้ารางวัลจากสื่อโฆษณานอกบ้านอีกหลายรางวัล ซึ่งทั้งหมดนี้ ผมเชื่อว่า จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตโดดเด่นและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างน่าพอใจ” นายนพดลกล่าว
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ได้สะท้อนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราการใช้พื้นที่โฆษณา (Occupancy Rate) ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 74% จากไตรมาส 2 ปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ 66% แบ่งเป็นอัตราการใช้สื่อป้ายโฆษณากลางแจ้ง (Billboard) 68% สื่อบริเวณถนน (Street Furniture) 64% และสื่อบริเวณสถานีขนส่งและยานพาหนะ (Transit) 67% ซึ่งอัตราการใช้พื้นที่โฆษณาในระดับดังกล่าวถือว่า เติบโตอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ป้ายโฆษณากลางแจ้ง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาร์จินให้กับบริษัทฯ ในระดับที่สูง ก็มีการเติบโตอย่างโดดเด่น รวมถึงการรับงานในลักษณะ Made to Order ซึ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ เป็นอย่างดี โดยทั้งหมดนั้นเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 เติบโตได้อย่างน่าพอใจ
สำหรับในปีนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นเรื่องการรักษาอัตรากำไรสุทธิให้ได้ในระดับไม่น้อยกว่า 20% และตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 15% โดยในขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการติดตั้งสื่อบริเวณตอม่อใต้สะพานข้ามแยก จำนวน 249 ป้ายทั่วกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสื่อเดิม โดยการเปลี่ยนป้าย Billboard เป็น LED และการเปลี่ยนป้าย BTS บางส่วนเป็น LED รวมถึงการขยายจุดพื้นที่โฆษณาทั้งในและต่างประเทศ และการรุกทำตลาดสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยในประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)