นายชาลี จันทนยิ่งยง รองเลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า “เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งได้จำหน่ายหรือมีแผนการที่จะจำหน่ายทรัพย์สินเข้ากองทุนรวมหรือ REIT โดยมักจะเป็นการทำรายการขนาดใหญ่ มีมูลค่าสูง และมีสัญญาที่บริษัทหรือบริษัทย่อยเช่าสินทรัพย์กลับคืนเพื่อนำไปประกอบธุรกิจหรือบริหารจัดการให้ ซึ่งการดำเนินการนี้มีผลกระทบต่อบริษัทเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ ฐานะการเงินผลการดำเนินงาน โครงสร้างรายได้ ภาระผูกพัน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะประเด็นการบันทึกบัญชีว่าเป็นการขายขาดหรือการกู้ยืม ซึ่งจะมีความแตกต่างกันและมีผลอย่างมากต่อกำไรของบริษัทในแต่ละงวดบัญชี
เนื่องจากกำไรของบริษัทมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ และการตัดสินใจของผู้ลงทุน ผู้ลงทุนจึงต้องศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ หากเป็นรายการที่มีนัยสำคัญและต้องเสนอให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติรายการ ผู้ถือหุ้นควรซักถามบริษัทและคณะกรรมการบริษัทในรายละเอียดเพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการอนุมัติรายการด้วย
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลได้จากมติคณะกรรมการบริษัท เอกสารการประชุมผู้ถือหุ้น รวมทั้งแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) และรายงานประจำปีของบริษัท ภายใต้หัวข้อ“การวิเคราะห์และคำอธิบายของฝ่ายจัดการ” และ “ปัจจัยความเสี่ยง” ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์และอธิบายผลกระทบที่มีต่อการประกอบธุรกิจ ฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และภาระผูกพัน ทั้งงวด
ที่ผ่านมาและที่จะเกิดในอนาคต รวมถึงนโยบายในการบันทึกบัญชีที่ใช้และเหตุผลประกอบการเลือกใช้นโยบายดังกล่าว”