“ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากบริษัทฯ มีมุมมองเชิงบวกและให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา จากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และมีอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในระดับที่ดี รวมทั้งการคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ส่งผลให้ผลตอบแทนกองทุนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายสมิทธ์กล่าว
ทั้งนี้ กองทุน SCBTRTG มีนโยบายการลงทุนในหุ้นแบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุน และมีกลยุทธ์เชิงรุก (Active Managed) โดยการคัดเลือกหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ก่อน จากนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งผลให้เกิดความมั่นใจในการบริโภคภายในประเทศ อาทิ กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งยังสามารถใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดขาลงด้วย โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 9% ภายใน 9 เดือน โดยกำหนดทริกเกอร์ 3 ครั้งๆละ 3% ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นของกองนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนระหว่างทางเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเข้าเงื่อนไขในแต่ละช่วงตามที่กำหนด
สำหรับกองทุน SCBTG4P4A จัดตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 เน้นการลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และผู้จัดการกองทุนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดในขณะนั้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนและคำนึงถึงความเสี่ยงเป็นสำคัญ โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% ภายใน 10 เดือน ซึ่งก่อนหน้านี้กองทุนดังกล่าวได้ทำผลตอบแทนทริกเกอร์ตามเป้าหมาย สามารถคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยในครั้งแรกไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในอัตรา 4%
นายสมิทธ์กล่าวว่า บริษัทฯยังมองว่าหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจากสภาพคล่องทั่วโลกยังมีอยู่สูง และอัตราเงินเฟ้อยังต่ำ รวมทั้งความคืบหน้าจากนโยบายของรัฐบาลภายหลังจากมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดีต่อไป
ดังนั้น บริษัทฯ จึงเตรียมที่จะออกกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ไทยแลนด์รีคอฟเวอรี่ ทริกเกอร์3×3 ฟันด์ 2 (SCB Thailand Recovery Trigger 3×3 Fund 2 ) อายุประมาณ 9 เดือน มูลค่า1,500 ล้านบาท โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 16-22 กันยายนนี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท เพื่อลงทุนในหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์การลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภายในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากแผนการลงทุนในการลงทุนภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คาดว่าหุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่หุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังคงเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศเนื่องจากคาดว่ารัฐบาลใหม่ที่ได้รับการจัดตั้งจะเร่งลงทุนในโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากได้หยุดชะงักมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะไม่มีการประมูลโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ ในปีที่ผ่านมา ผู้รับเหมาทุกรายยังคงมีงานในมือ (Backlogs) ที่รับรู้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าความเสี่ยงด้านการตัดราคาเพื่อให้ได้รับงานก่อสร้างจะอยู่ในระดับต่ำ และมีมูลค่าพื้นฐานปัจจุบันที่น่าสนใจ