มหกรรมอาหารและสุขภาพวิถีไท ชู“น้ำพริก”สะท้อนวิถีการกินคนไทย

ศุกร์ ๑๒ มิถุนายน ๒๐๑๕ ๑๒:๑๐
พบกันอีกครั้งกับมหกรรมอาหารและสุขภาพวิถีไท ครั้งที่ 2 ณ อิมแพคเมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25-28 มิ.ย. 58 นี้ ชูประเด็นเรื่องน้ำพริก เครื่องชูรสจูงใจให้คนไทยหันมากินผักมากขึ้น ทำให้สุขภาพและชุมชนดี ชวนชิมน้ำพริกหายาก 4 ภาคร่วมกับน้ำพริกในประเทศกลุ่มอาเซียน พร้อมเลือกซื้อสินค้าผักพื้นบ้านสมุนไพร และสาธิตทำเมนูน้ำพริกประยุกต์สำหรับคนเมือง และน้ำพริกเด็ก

นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ ผู้อำนวยการมูลนิธิสุขภาพไทย เปิดเผยว่า แผนงานอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับครือข่ายภูมิปัญญาสุขภาพวิถีไท และเครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งภาคีต่างๆ ร่วมกันจัดงานมหกรรมอาหารและสุขภาพวิถีไท ครั้งที่ 2 ขึ้น ณ อิมแพคเมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25-28 มิ.ย. 58 ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้รวบรวมเรื่องน้ำพริกจากทุกภูมิภาคมาเผยแพร่ทั้งนิทรรศการ และการสาธิตการทำน้ำพริกหายากในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งน้ำพริกจากประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้สโลแกน “น้ำพริกถ้วยเก่า” เพื่อจะสื่อความหมายให้เห็นถึงวัฒนธรรมการกินแบบดั้งเดิมของคนไทย แม้น้ำพริกจะพัฒนาไปในเชิงอุตสาหกรรมไปมากมาย แต่น้ำพริกในท้องถิ่นที่ยังไม่รู้จักมีอีกจำนวนมาก ซึ่งวัตถุประสงค์ของการจัดการครั้งนี้ที่ชูเรื่องน้ำพริก เพราะเมื่อคนสนใจกินน้ำพริกจะหันกลับมากินผักได้มากขึ้น ซึ่งมีทั้งผักเคียง ผักแกล้ม เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

ผู้อำนวยการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวต่อว่า เมื่อพูดถึงน้ำพริกจะมีอยู่ 2 วง วงแรกคือเครื่องปรุงในตัวน้ำพริกเอง ประกอบด้วย พริก หอม กระเทียม กะปิ และอื่นๆ ซึ่งภายในงานจะเชื่อมโยงให้เห็นว่าวัตถุดิบที่นำมาทำน้ำพริกมาจากเกษตรกรรายย่อยที่ทำเรื่องเกษตรปลอดสารพิษ วัตถุดิบเหล่านี้จะนำมาจำหน่ายภายในงานด้วย เช่นทั้งกระเทียม หอม ที่ปลูกปลอดสารไม่ใช่กระเทียมที่มาจากจีน เป็นต้น

สำหรับในวงที่ 2 ที่กว้างออกไปน้ำพริกต้องกินกับผัก จะสะท้อนความหลากหลายของพันธุกรรม หากคนไทยไม่กินน้ำพริก พื้นที่ปลูกผักที่กินกับน้ำพริกจะเปลี่ยนไปเป็นไร่ข้าวโพด สวนยาง หรือเกษตรอุตสาหกรรมอื่นๆ เมื่อเรารู้จักกินก็จะรักษาพื้นที่ปลูกผักเอาไว้ ยกตัวอย่างกรณีฟักข้าว ที่หายไปจากสังคมไทยนานแล้ว เมื่อมีงานวิจัยพบว่าพืชตัวนี้มีสารต้านมะเร็ง คนไทยก็หันมาปลูกและกินฟักข้าวมากขึ้น

“งานครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่าเราต้องต่อสู้กับเกษตรอุตสาหกรรมด้วย เพราะพันธุกรรมของพืชจะถูกเก็บไว้ที่บริษัทเท่านั้น แต่ต้องเป็นพันธุกรรมในท้องถิ่นและขยายไปได้ เช่น มะระขี้นกที่ขายในท้องตลาดมีขนาดใหญ่ ผลจากการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม ต่างจากพันธุ์ดั้งเดิมที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นหากไม่มีคนกิน พันธุ์พื้นบ้านก็จะหายไป ซึ่งเมล็ดพันธุ์มักถูกผูกขาดโดยบริษัท จึงอยากบอกเล่าว่า จากอาหารต้องเชื่อมโยงไปสู่สุขภาพและชุมชนรวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย”

ด้าน น.ส.กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า คนไทยสมัยก่อนไม่ได้กินหมู เห็ด เป็ด ไก่ กันมากขนาดนี้ แต่กินข้าวกับปลาเป็นหลัก สิ่งที่ชูรสให้กับอาหาร คือ พริก น้ำพริก ทำให้กินข้าวกินผักได้มากขึ้น น้ำพริกจึงทำให้เรากินผักที่อยู่ในระบบอาหารที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งแต่ละภูมิภาคจะมีวัตถุดิบทั้งของเค็มของหมักดอง เมื่อกลายมาเป็นเมนูน้ำพริกก็จะช่วยให้กินกับผักในภูมิภาคนั้น น้ำพริกจึงอยู่กับความหลากหลายทั้งในระบบนิเวศและฤดูกาล จนเป็นวัฒนธรรมอาหาร เกิดสูตรน้ำพริกนับร้อยสูตร

รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวอีกว่า เมื่อวัฒนธรรมอาหารที่มาจากระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น ไม่ต้องการน้ำพริกมาช่วยชูรส ผักก็กินไม่กี่ชนิด แล้วใช้เครื่องปรุงรสอื่นมาช่วยแทน เช่น ผงปรุงรส และผงชูรส ทำให้เรากินหลากหลายน้อยลง จึงเชื่อว่าเมื่อเราส่งเสริมให้คนไทยหันมากินน้ำพริกจะทำให้คนกินผักมากขึ้น และกินได้อย่างมีความสุข เพราะน้ำพริกมีความเข้มข้นมีความเผ็ดจึงทำให้เรากินผักได้เยอะ หรือไม่ต้องกินข้าวมากก็ได้สำหรับหลายคนที่กลัวอ้วน

“วัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปไม่ทันรู้ตัว เรากินอาหารในระบบอุตสาหกรรมเราไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผลิตในระบบอุตสาหกรรมมีฉลากบอกแต่บอกไม่หมด แม้ของกินในอดีตจะเป็นของหมักดอง แต่คนโบราณให้กินผักผักเพื่อแก้กัน โรคภัยที่เราเป็นกันในเวลานี้ยาที่มีอยู่เท่าไรก็ไม่เอาไม่อยู่ ถ้าไม่มีคนกิน ผักพื้นบ้าน ผักสมุนไพรต่างๆก็หาย หากยังมีคนกิน เกษตรกรรายเล็กรายน้อยก็ยังปลูกอยู่” รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าว

สำหรับกิจกรรมต่างๆ ในงานมหกรรมอาหารและสุขภาพวิถีไทย ครั้งที่ 2 มีมากมาย อาทิ การสาธิตทำน้ำพริกของชนชาติต่างๆ ในอาเซียน ทั้งพม่า กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เครือข่ายสวนผักคนเมืองจัดโซนเรียนรู้เรื่อง “น้ำพริกพลิกเมือง” เพื่อให้ความรู้เรื่องการปลูกผักในพื้นที่จำกัด ขณะเดียวกันเครือข่ายหมอยาพื้นบ้านจะเล่าเรื่องพริกว่าเป็นยาได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีการออกบูทอาหารเพื่อสุขภาพกว่า 100 ร้าน และการฝึกอบรมหลักสูตรฟรีกว่า 20 หลักสูตร ท่านที่สนใจเชิญเที่ยวชมงานได้ระหว่างวันที่ 25-28 มิ.ย.2558 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๔ พ.ค. Siriraj Education Expo 2024 ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับศิริราช พร้อมยกระดับทางการแพทย์ให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคน
๐๓ พ.ค. ครั้งแรก! งานเทศกาลคอนเทนต์ LGBTQ ฉลองความเท่าเทียมทางเพศ THAILAND INTERNATIONAL LGBTQ FILM TV FESTIVAL 2024 ปักหมุดเตรียมพบกัน กันยายนนี้
๐๓ พ.ค. โน วัน เอลส์ ส่ง 3 เพลงรัก 3 สไตล์! ผ่านมิวสิกซี่รีย์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น
๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง