บลจ.กสิกรไทยมองเศรษฐกิจอาเซียนฉายแววโดดเด่น เล็งคลอดกองทุนหุ้นอาเซียน คาดเปิดขายภายในไตรมาส 3 เผยมูลค่าหุ้นยังต่ำ แต่ศักยภาพเติบโตสูง

ศุกร์ ๐๓ กรกฎาคม ๒๐๑๕ ๑๔:๓๔
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ความร่วมมือของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ Asean Economic Community (AEC) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปลายปี 2558 นี้ จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก เนื่องจากการรวมตลาดและฐานการผลิตที่เป็นหนึ่งเดียวกัน จะทำให้ภูมิภาคเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และยังช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับบริษัทจดทะเบียนในประเทศสมาชิกให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้นด้วย บลจ.กสิกรไทยจึงมีแผนที่จะขยายการลงทุนโดยตรงไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปศึกษา ติดตามเศรษฐกิจและพัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนวิเคราะห์หลักทรัพย์ของประเทศในกลุ่มสมาชิกอย่างใกล้ชิด โดยเริ่มต้นจากประเทศหลักๆ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของประเทศเหล่านี้

นางสาวธิดาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกลุ่มประเทศในอาเซียน มีจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 10% ของประชากรโลก และมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันเป็นมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา จีน และเยอรมนี ส่วนมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) ของอาเซียน มีมูลค่ารวมกันประมาณ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 4% ของตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงศักยภาพในการเติบโตของอาเซียนตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 6% ต่อปี ผนวกกับภาครัฐมีการใช้งบประมาณด้านการพัฒนาสาธารณูปโภคเป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง รวมถึงการที่ประชากรซึ่งมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะทำให้เม็ดเงินจากการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนและตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนยังมีศักยภาพในการเติบโตที่ดี และมองเห็นโอกาสในการเข้าไปลงทุนได้อีกมาก

"การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของกลุ่มประเทศอาเซียน นับว่าเป็นการช่วยกระจายการลงทุนและลดความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอที่ดี โดยการศึกษาข้อมูลในอดีต 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ พ.ศ.2548-2557 พบว่าการลงทุนในดัชนีหุ้นของ 4 ประเทศในอาเซียนในสัดส่วนที่เท่ากัน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และไทย สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15.40% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.10% ต่อปี ในขณะที่การลงทุนใน 4 ประเทศดังกล่าวมีความผันผวนต่ำกว่า ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 18% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนเฉลี่ย 21% นอกจากนี้ การลงทุนในอาเซียนยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แต่ในประเทศไทยอาจไม่มีศักยภาพในการแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น เนื่องด้วยข้อจำกัดต่างๆ อาทิ ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิประเทศ หรือทักษะของแรงงาน" นางสาวธิดาศิริกล่าว

ตั้งแต่ต้นปี 2557 ที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทยได้จัดส่งทีมงานจัดการกองทุนตราสารทุนกว่า 10 คน เพื่อเข้าไปศึกษา เยี่ยมชมกิจการและวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในหุ้นของแต่ละประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ โดยมีการวิเคราะห์หุ้นเชิงลึกในรายตัวครอบคลุมกว่า 150 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของมูลค่าตลาดทั้งหมดใน 3 ประเทศ และได้ประเมินอัตราการเติบโตทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มประเทศอาเซียน 4 ประเทศ (รวมประเทศไทย) ในปี 2559 ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 14% ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยมีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้น และยังสามารถลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝากหรือหลักทรัพย์อื่นๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนได้ โดยกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ได้ตั้งแต่ 0%-100% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดในแต่ละขณะ โดยจะเน้นลงทุนใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเปิดขายกองทุนได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างขั้นตอนขออนุมัติร่างหนังสือชี้ชวนกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า กองทุนจะมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของมูลค่าหุ้นในระยะยาว โดยจะลงทุนในหุ้นทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนไม่เกิน 30 ตัว ที่มีสภาพคล่องและศักยภาพในการเติบโตสูง รวมถึงเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมใน 4 ประเทศอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและไทย โดยมีหลักในการพิจารณาคัดเลือกหุ้น จากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในระดับบริษัท (Bottom-up / Fundamental Approach) ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และผู้จัดการกองทุนมีการประเมินมูลค่าหุ้น (Stock Valuation) โดยพิจารณาเรื่องความได้เปรียบในการแข่งขัน ระดับราคาที่เหมาะสม รวมถึงการมีบรรษัทธรรมาภิบาลที่ดี และจะพิจารณาธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง ซึ่งปัจจุบันเน้นหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายภาครัฐและการบริโภคในประเทศ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๐:๕๙ อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม VICHY LIFTACTIV BRAND PARTNER ตัวแทนประเทศไทย ร่วมงาน 'V.I.C VICHY INTEGRATIVE CENTER' อีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ของแบรนด์ VICHY (วิชี่) อวดลุคเซ็กซี่สุดฮอต สวย ปัง
๒๖ เม.ย. ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๒๖ เม.ย. NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๒๖ เม.ย. แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๒๖ เม.ย. แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๒๖ เม.ย. RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๒๖ เม.ย. ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๒๖ เม.ย. เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๒๖ เม.ย. ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๒๖ เม.ย. ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud