นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.)เปิดเผยข้อมูลว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในบริเวณแยกราชประสงค์และบริเวณท่าเรือสาทรจนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมากซึ่งการเกิดเหตุแต่ละครั้งบุคลากรทางด้านการแพทย์ฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยจะเป็นหน่วยงานหลักที่จะต้องเข้าทำงานพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บให้ทันท่วงที ซึ่งการทำงานเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินในสถานการณ์อ่อนไหวและอันตรายเช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยมีความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยเหตุนี้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติมีความเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยจึงได้จัดการอบรมฟื้นฟูความรู้ ด้านการปฏิบัติงานและการป้องกันอันตรายจากวัตถุระเบิด ขึ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ร่วมทบทวนความรู้ความเข้าใจการเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในสถานการณ์ระเบิดและการดูแลตนเองไม่ให้ได้รับผลกระทบหรือบาดเจ็บจากสถานการณ์ระเบิดเมื่อต้องเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมในครั้งนี้ตัวแทนเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินเจ้าหน้าที่มูลนิธิและหน่วยกู้ชีพในกรุงเทพมหานครที่เข้าร่วมจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุระเบิดเบื้องต้น การสังเกต บุคคล สถานที่ ในพื้นที่เสี่ยงต่อการวางระเบิด การเก็บรักษาวัตถุพยาน เกี่ยวกับวัตถุระเบิด โดยมี พันเอกชาญวิทย์ ราชธนบริบาล จากกรมสรรพาวุธทหารบกเข้าร่วมเป็นวิทยากรให้การให้ความรู้ นอกจากนี้แล้วผู้เข้าร่วมอบรมยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติงานด้านกู้ชีพ ในการป้องกัน อันตรายจากวัตถุระเบิด การเก็บข้อมูล และการรายงาน โดย พันเอก (พิเศษ) นายแพทย์โชคชัย ขวัญพิชิต ผู้อำนวยการศูนย์แพทย์ทหารบก จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นวิทยากรในการให้ความรู้
“ทั้งนี้การทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ชีพและกู้ภัยในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้บาด เจ็บจากเหตุระเบิดที่ราชประสงค์สามารถทำได้ทันท่วงที และสามารถกระจายผู้บาดเจ็บเพื่อเข้ารับการรักษาและรอดชีวิตมากที่สุด จากผู้บาดเจ็บ100กว่าราย มีเสียชีวิตเพิ่มจากที่เกิดเหตุเพียงไม่กี่ราย ซึ่งผมได้เน้นให้ผู้ปฏิบัติงานเน้นความปลอดภัย 3-4 ประการ คือ ปฏิบัติงานภายใต้การบังคับบัญชาที่ชัดเจน การแสดงตัว และการรายงานตัวหากจะเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง”นพ.อนุชากล่าว
ด้านพันเอกชาญวิทย์ ราชธนบริบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด กรมสรรพาวุธทหารบก กล่าวว่า ในการเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากสถานการณ์ระเบิดเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือควรต้องระมัดระวังอย่างมาก ต้องทำงานบนพื้นฐานความปลอดภัย เริ่มตั้งแต่ การสังเกตวัตถุต้องสงสัย ซึ่งสังเกตง่ายๆ ดังนี้ 1.เป็นวัตถุไม่มีเจ้าของ 2. ลักษณะภายนอกผิดไปจากสภาพเดิม3.เป็นวัตถุที่ควรจะอยู่ที่อื่นมากกว่าอยู่ตรงนั้น 4.เป็นวัตถุที่ไม่เคยพบเห็น ณ ตรงนั้นมาก่อน ส่วนการสังเกตบุคคลต้องสงสัยที่จะก่อเหตุ ส่วนใหญ่ทำได้ยาก โดยเฉพาะในที่สาธารณะ ซึ่งมีคนจำนวนมาก แม้แต่สนามบิน ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับระเบิดสูงสุด ก็ยังต้องอาศัยการสังเกตบุคคลซึ่งทำได้ยากด้วยเช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด กรมสรรพาวุธทหารบก กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ส่วนการสังเกตพื้นที่เสี่ยง ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุเลือกใช้พื้นที่หรือเส้นทางที่เป้าหมายใช้เป็นประจำ ส่วนจุดเสี่ยงเป็นจุดที่ผู้ก่อเหตุได้เปรียบเมื่อวางระเบิด เนื่องจากเป็นจุดจำกัดหรือจุดบังคับที่ต้องผ่าน เช่น ทางโค้ง ทางม้าลาย เนื่องจากมีคนรอข้ามถนน และรถต้องชะลอความเร็ว ทางแคบ ซอยแคบ ทางบังคับ และทางแยกก็เป็นจุดเสี่ยงของการวางระเบิด ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่วนการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บให้ถึงสถานพยาบาล เพื่อลดการเสียชีวิตแต่เจ้าหน้าที่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง ต้องประเมินโอกาสการมีระเบิดลูกที่ 2 ที่ 3 ในบริเวณใกล้เคียงที่เสี่ยงต่อการสูญเสียของผู้เข้าไปช่วยเหลือด้วย