PwC เผยความเชื่อมั่นซีอีโออาเซียนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและรายได้ปีนี้ทรุดจากปีก่อน

อังคาร ๐๑ มีนาคม ๒๐๑๖ ๑๕:๔๔
PwC เผยผลสำรวจ Global CEO Survey พบความเชื่อมั่นซีอีโออาเซียนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และรายได้ปีนี้ลดลงจากปีก่อน เป็นไปในทิศทางเดียวกับซีอีโอโลก เหตุกังวลความไม่สงบทางการเมือง ห่วงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มี 'อุปสรรค' ในการทำธุรกิจมากกว่า 'โอกาส' แต่ก็ยังเดินหน้าลงทุน โดยไทยยังติด 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุนในสายตาอาเซียน แนะเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการศึกษา เพื่อผงาดขึ้นสู่ตลาดการลงทุนแถวหน้าของอาเซียน เผยการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs ซึ่งจะเป็นตัววัดผลสำเร็จของธุรกิจและความท้าทายใหม่ของธุรกิจในศตวรรษที่ 21

นาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Global CEO Survey ครั้งที่ 19 ที่ใช้ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ณ กรุง ดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประจำปี 2559 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,409 รายใน 83 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 61 รายใน 7 ประเทศ ว่า ความเชื่อมั่นของซีอีโออาเซียนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้บริษัทในปีนี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 39% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก (Global Economy) จะดีขึ้นในปีนี้ ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ 49% ถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปีนับจากปี 2556 โดย 3 ปัจจัยหลักที่ซีอีโออาเซียนมองว่า เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจและนโยบาย (Economic and policy threats) ได้แก่ ความผัวผวนของอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate volatility) ความไม่มั่นคงทางสังคม (Social instability) และความไม่สงบทางการเมือง (Geopolitical uncertainty)

"ความไม่สงบทางการเมืองกลายเป็นประเด็นที่ซีอีโอทั่วโลกต่างพูดถึงและจับตาอย่างใกล้ชิดในปีนี้ โดยซีอีโอมองว่า หากมีสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศปะทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้คนและภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ" นาย ศิระ กล่าว

นอกจากนี้ ในระยะสั้น หลายประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีแผนการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศในปีนี้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และไทย แม้จะยังไม่แน่นอนก็ตาม ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ยังเตรียมกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 13 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2559-2563 อีกด้วย ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ซีอีโออาเซียนต่างเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด

ขณะที่ผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 38% ในปีนี้เชื่อว่า รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจากปีก่อนที่ 47% สำหรับ 3 ปัจจัยที่ซีอีโออาเซียนมองว่า เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจ (Business threats) ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (88%) ยังเป็นอุปสรรคลำดับแรกที่ซีอีโออาเซียนกังวล ซึ่งประเด็นนี้ เป็นสิ่งที่ท้าทายหลายบริษัทในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งด้านไอที เทคโนโลยี และทักษะเฉพาะทาง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า เพราะจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ทัดเทียมสากล ถัดมาคือ การติดสินบนและคอร์รัปชั่น (80%) และสุดท้าย คือ การขาดความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ (75%)

"ปีนี้ความเชื่อมั่นของซีอีโอโลกและซีอีโออาเซียนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้บริษัทลดลงทั้งคู่เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า ภาพรวมของโลกไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงไม่น่าแปลกใจที่ซีอีโอทั้งสองกลุ่มต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ในปีนี้มีอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจมากกว่าโอกาส"

ขณะที่แนวโน้มการจ้างงานเพิ่มในอาเซียนก็ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจที่ชะลอตัวเช่นกัน โดยจากผลสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนเพียง 59% เท่านั้น ที่มีแผนจะจ้างบุคลากรเพิ่ม ลดลงจากการสำรวจปีก่อน ประมาณ 8% อย่างไรก็ดี นายศิระ กล่าวเสริมว่า แม้ภาพรวมการจ้างงานจะลด แต่ความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงในภูมิภาคยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ซีอีโออาเซียนให้ความสำคัญกับการเฟ้นหาและบริหารบุคลากรที่เป็นทาเลนต์ โดย 43% ระบุว่า จะเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาบุคลากร เพื่อผลักดันให้คนเก่งมากความสามารถขึ้นเป็นผู้บริหารในอนาคต (Building a pipeline of leaders for tomorrow) นอกจากนี้ ยังต้องการจะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและพฤติกรรมการทำงาน (Workplace culture and behaviours) รวมทั้ง ระบบการบริหารจัดการผลตอบแทน และสวัสดิการให้แก่พนักงาน (Pay, incentives and benefits provided to employees) เพื่อจูงใจและรักษาทาเลนต์ให้อยู่กับองค์กรไปนานๆ

ไทยติด Top 5 ตลาดน่าลงทุนของอาเซียน

นาย ศิระ กล่าวต่อว่า แม้ว่าภาพรวมความเชื่อมั่นในปีนี้จะดูแย่ แต่ผู้บริหารในภูมิภาคยังคงมีแผนลงทุนตามปกติ โดยผลสำรวจพบว่า 5 อันดับตลาดน่าลงทุนในปีนี้ อันดับที่ 1 ได้แก่ จีน (49%) ซึ่งแม้ปีนี้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มไม่สดใสนัก แต่จีนถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของอาเซียน อันดับที่ 2 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (42%) โดยดูจากกำลังซื้อและตัวเลขจ้างงานที่ฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา ส่วน อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ติดอันดับที่ 3 (19% เท่ากัน) อย่างไม่น่าแปลกใจ เพราะทั้งมูลค่าการลงทุนและอัตราการขยายตัวของภาคธุรกิจของสองประเทศ ประกอบกับอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำและทรัพยากรธรรมชาติที่ยังมีอยู่มาก ทำให้โอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงมีสูง ตามด้วย อันดับที่ 4 ได้แก่ อินเดีย (13%) ภายใต้การบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี

สำหรับประเทศไทยนั้น ยังติด 1 ใน 5 ตลาดที่น่าลงทุนในสายตาซีอีโออาเซียนในปีนี้ (12%) โดยมีจุดแข็งสำคัญด้านแรงงานที่มีทักษะฝีมือเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และการใช้จ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ผนวกกับไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน ทำให้มีข้อได้เปรียบหลายด้าน โดยเฉพาะการคมนาคม การติดต่อสื่อสาร และการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ดี ไทยก็ไม่ควรชะล่าใจ โดยยังมีจุดอ่อนบางเรื่องที่ต้องปรับปรุง เช่น ภาคการผลิตในบางจุดยังมีประสิทธิภาพต่ำ ค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น การปรับปรุงคุณภาพการศึกษา การกระจุกตัวของพื้นที่อุตสาหกรรมที่อาจทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ภาระหนี้สินของคนในชนบทและผู้มีรายได้น้อย และการอพยพของแรงงาน เป็นต้น

"ไทยยังน่าลงทุนในสายตาเพื่อนบ้านจากจุดแข็งหลายประการข้างต้น แต่สิ่งที่เราละเลยไม่ได้ คือ ต้องแก้ไขจุดอ่อนหลายๆ ด้านอย่างเร่งด่วน เพื่อไล่ตามอินโดนีเซียและเวียดนามให้ทัน"

นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของภาคเอกชน โดยซีอีโออาเซียนมองว่า ภารกิจสำคัญ 3 อันดับแรกที่ต้องการการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ได้แก่ 1. การสร้างแรงงานที่มีทักษะ เพียงพอต่อความต้องการของตลาด (71%) ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน 2. โครงสร้างพื้นฐานเชิงทางกายภาพและดิจิทัล (41%) และ 3. แรงงานที่มีความหลากหลาย (38%)

SDGs ความท้าทายของธุรกิจอนาคต

นาย ศิระ กล่าวว่า ซีอีโออาเซียนในปีนี้ยังแบ่งความท้าทายของการดำเนินธุรกิจออกเป็น 2 ด้านด้วยกัน ประกอบด้วย 1. การตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Addressing greater expectations) และ 2. การประเมินผลสำเร็จของกิจการ (Measuring success)

ผลจากการสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนถึง 77% มองว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จะเป็นเทรนด์ที่สามารถช่วยตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียของธุรกิจได้มากที่สุด ด้วยพลวัตการเปลี่ยนแปลงด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และอื่นๆ

ส่วนความท้าทายในการประเมินผลสำเร็จของกิจการนั้น ผลสำรวจพบว่า ซีอีโออาเซียนกว่า 80% ต่างเห็นด้วยว่า ความสำเร็จในการทำธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้วัดกันที่ "ผลกำไร" เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เนื่องจากผู้บริหารทั่วโลกเริ่มตื่นตัวในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุม 3 มิติ ประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยคำนึงถึงเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจพร้อมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามที่ประชาคมโลกกำลังให้ความสำคัญเพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ 17 เป้าหมายในอีก 14 ปีข้างหน้า (2558-2573) และเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไปทั่วโลก

"ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่วันนี้ ธุรกิจอาเซียนมีแผนที่จะนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน มาปรับใช้กับองค์กร ผลสำรวจในปีที่ผ่านมาของเราระบุว่า บริษัทในอาเซียนเกือบ 100% มีแผนที่จะนำ SDGs มาใช้ภายในอีก 5 ปีข้างนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย SDGs และสอดคล้องกับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯที่ส่งเสริมเรื่อง Environmental, Social and Governance หรือ ESG เพื่อพัฒนาตลาดทุนไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย"

ขณะที่ผลสำรวจครั้งนี้ระบุว่า ซีอีโอทั่วโลก 39% คิดว่าธุรกิจควรที่จะมีการวัดผลในเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อม (Environmental impact) เพราะนั่นหมายถึงการสร้างธุรกิจและสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ภาครัฐและเอกชนจะต้องทำงานร่วมกัน ทั้งในเชิงนโยบายและภาคปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง
๐๓ พ.ค. มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า โครงการบ้านชื่นสุขสร้างสุขผู้สูงอายุ ตอกย้ำ ความกตัญญู
๐๓ พ.ค. รีเล็กซ์ โซลูชันส์ เผยกลุ่มค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคยังไม่ใช้ศักยภาพของ AI มากนัก
๐๓ พ.ค. กทม. บูรณาการหน่วยงานเร่งแก้ปัญหาเด็กเช็ดกระจก-ขายของริมถนน ใช้สหวิชาชีพแก้ปัญหารายครอบครัว