กสิกรไทยคาดสิ้นปี 60 เงินบาทอ่อนค่า 36.50 บาท/ดอลลาร์ เอกชนออกหุ้นกู้น้อยลง 25% หลังมีเบี้ยวหนี้

พฤหัส ๐๙ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๗ ๑๒:๕๖
กสิกรไทยชี้ปี 60 เป็นปีที่ท้าทายสูงจากปัจจัยความเสี่ยงทางด้านการเมืองของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนสิ้นปีอยู่ที่ 36.50 บาท/ดอลลาร์ เอกชนออกหุ้นกู้ 6 แสนล้านบาทลด 20-25% หลังบางส่วนมีปัญหาจ่ายหนี้คืน ส่วนหุ้นกู้น้ำดีต้นทุนยังต่ำ คาดปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโต 3.3% ใกล้เคียงกับปีก่อน

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2560 จะเป็นปีที่ตลาดเงินตลาดทุนมีความท้าทายสูงอีกปีหนึ่ง โดยเฉพาะปัจจัยความเสี่ยงทางด้านการเมืองของสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายชาตินิยมหรือ"America First" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อนักลงทุนทั่วโลก เช่น นโยบายห้ามประชากรจากประเทศอาหรับเข้าสหรัฐฯ การกีดกันการค้ามากขึ้น นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 45% ซึ่งจะส่งผลเชิงลบต่อการค้าโลก สำหรับประเทศไทยหากสหรัฐฯ นำเข้าลดลง 1% อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยลดลง 0.9%

ภาพรวมตลาดทุน คาดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินโดยรวม ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดทุนมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ค่าเงินบาทในสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯ แคบลงจึงลดการถือครองเงินบาท และการที่สหรัฐฯ ประกาศที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการลดภาษีจึงต้องกู้ยืมเงินจำนวนมาก ส่งผลให้ขาดดุลการคลังและต้นทุนการเงินจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของธุรกิจไทยสูงขึ้นเช่นกันจากอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสที่จะปรับขึ้น ดังนั้น ภาคธุรกิจควรจะเตรียมตัวรับมือไว้

ด้านธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2559 ที่ผ่านมาผู้ส่งออกมีการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากความผันผวนในตลาดที่สูงและค่าเงินบาทเปลี่ยนทิศทางแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ตั้งแต่ช่วงกลางปี โดยสกุลเงินหลักที่ลูกค้าใช้ในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศยังคงเป็นกลุ่มสกุลเงินเดิมคือ ดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร และเยน ขณะที่การค้าในภูมิภาคมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ส่งผลให้การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินในกลุ่มประเทศ AEC ได้แก่ มาเลเซียริงกิต และอินโดนีเซียรูเปียะ ปรับเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้ขยายการให้บริการครอบคลุมการให้คำปรึกษาการรายงานทางการเงินการบริหารความเสี่ยง ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก ทำให้ธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำเพื่อรองรับธุรกรรมการลงทุนและการกู้ยืมเติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ธนาคารจะพัฒนาการให้บริการส่วนนี้ให้เข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปในปีนี้

ด้านธุรกิจตลาดตราสารหนี้ ปีที่แล้วมีมูลค่ารวม 7.85 แสนล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจมีส่วนแบ่งทางการตลาด 12.3% สำหรับการค้าตราสารหนี้ภาครัฐ และ 17.2% สำหรับการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ภาคเอกชนในตลาดแรก (ไม่รวมการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ของธนาคาร) โดยปริมาณตราสารหนี้ภาคเอกชนในตลาดแรกที่ธนาคารจัดจำหน่ายในปี 2559เพิ่มขึ้น 56% จากปี 2558 ในขณะที่ตลาดโดยรวมขยายตัวเพียง 36% โดยการขยายตัวของตลาดในอัตราสูงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการระดมทุนของภาคเอกชนเพื่อการซื้อกิจการและสภาพตลาดที่ดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้บริษัทออกมาระดมทุนเพื่อการรีไฟแนนซ์หรือเพื่อการขยายกิจการที่ทำได้ในต้นทุนที่ต่ำลง สิ่งที่น่าสังเกตในปี 2559 นั้น แม้ว่าตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ "A" ยังคงมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของตลาดอยู่ แต่ตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว

นายธิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มในปี 2560 ปริมาณหุ้นกู้ภาคเอกชนในตลาดแรกอาจชะลอลงจากปี 2559โดยคาดว่าจะประมาณ 6 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ประมาณ 20-25% เนื่องจากการออกตั๋วเงินและตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากกรณีเหตุการณ์การผิดนัดชำระหนี้ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำหรับผู้ออกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพจะยังคงสามารถระดมทุนตลาดตลาดได้ในต้นทุนที่ต่ำอยู่ โดยในปี 2560 ธนาคารคาดว่าบริษัทในกลุ่มธุรกิจโครงการสาธารณูปโภค พลังงานไฟฟ้า และอสังหาริมทรัพย์ จะยังคงระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในจำนวนมาก และธนาคารกสิกรไทยจะยังคงความเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ควบคู่ไปกับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย ในปี 2560 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.3% ใกล้เคียงกับปี 2559 มูลค่าการส่งออกจะขยายตัวเล็กน้อยอยู่ที่ 0.8% ภาระหนี้ครัวเรือนจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 82% ของจีดีพี การท่องเที่ยวจะยังเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทย เงินเฟ้อคาดว่าจะเห็นการปรับรีบาวด์สูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.8% ดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ระดับ 1.50% ตลอดทั้งปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวที่ยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่มาจากพฤติกรรมการหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ("Search for yields")

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4