กระทรวงเกษตรฯ ยืนยันสินค้าเกษตรจากแปลง GAP ปลอดภัยต่อผู้บริโภคพร้อมผนึกกำลังการเฝ้าระวังความปลอดภัยของผู้บริโภค ทั้งจากแหล่งผลิตและแหล่งจำหน่ายอย่างเข้มข้น ใกล้ชิด และต่อเนื่อง

อังคาร ๒๔ ตุลาคม ๒๐๑๗ ๐๘:๔๐
นายอุทัย นพคุณวงศ์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรดำเนินการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างจากแหล่งผลิตพืชทั่วประเทศ ทั้งหมด 196 ชนิดพืช รวม 4,518 ตัวอย่าง ในช่วงเดือนตุลาคม 2559 – กรกฎาคม 2560 แบ่งเป็น แปลงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (จีเอพี : GAP) จำนวน 1,608 ตัวอย่าง และแปลงที่อยู่ระหว่างการตรวจรับรองมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีทางการเกษตร (จีเอพี : GAP) จำนวน 2,904 ตัวอย่าง และแปลงเกษตรอินทรีย์ (Organic) จำนวน 6 ตัวอย่าง สรุปได้ว่า สินค้าเกษตรที่เก็บจากแปลงที่ได้มาตรฐาน จีเอพี ผ่านมาตรฐานสารพิษตกค้าง 92.2 % และแปลงที่อยู่ระหว่างการตรวจรับรองมาตรฐาน จีเอพี ผ่านมาตรฐาน 93.6% ส่วนแปลงเกษตรอินทรีย์ 6 แปลง ไม่พบสารตกค้างทั้งหมด ทั้งนี้ จากการตรวจวิเคราะห์ โดยสินค้าเกษตร 145 ชนิด จาก 196 ชนิด ผ่านมาตรฐานปลอดภัย 100% เช่น หอมแดง มะเขือยาว ผักสลัด/ไฮโดรโพนิกส์ ผักกาดหอม กระเจี๊ยบเขียว บลอคโคลี ชะอม ถั่วแขก เห็ด กล้วย สตรอเบอร์รี ส้มโอ เป็นต้น

รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวด้วยว่า กระทรวงเกษตรฯ มีแนวทางในการกำกับดูแล คือ สินค้าเกษตรที่อยู่ระหว่างการขอการรับรองมาตรฐานที่ตรวจพบการตกค้างที่เกินค่ามาตรฐาน กรมวิชาการเกษตรจะไม่ออกใบรับรองแหล่งผลิตพืชให้เกษตรกรรายนั้นๆ และต้องดำเนินการขอยื่นการขอรับรองใหม่ ส่วนสินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและตรวจพบการตกค้างที่เกินค่ามาตรฐาน กรมวิชาการเกษตรจะดำเนินการแจ้งเตือนเกษตรกรให้ปรับปรุงระบบการผลิตพร้อมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา หากแนวทางแก้ไขปรับปรุงไม่ได้ผลหรือไม่มีประสิทธิภาพและตรวจพบปัญหาซ้ำ กรมวิชาการเกษตรจะพิจารณาให้พักใช้ใบรับรองแหล่งผลิตพืชต่อไป

ทางด้านนายพิศาล พงศาพิชณ์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) กล่าวว่า ผักผลไม้ที่พบสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน สูงกว่าผักผลไม้อื่น เช่น คะน้า พริก มะเขือเทศ ส้ม องุ่น เป็นต้น ซึ่งพบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานประมาณ 7% ของตัวอย่างทั้งหมด ในขณะที่ผักผลไม้บางชนิด เช่น กะเพรา โหระพา ผักชี ผักชีฝรั่ง มะม่วง ลำไย แก้วมังกร ฝรั่ง มังคุด เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชที่ยังมีมาตรฐานสารพิษตกค้าง (MRLs) กำหนดไว้น้อยมาก ซึ่งผลการพบสารพิษตกค้างนั้น แม้พียงปริมาณน้อยๆ ก็สรุปว่าเกินมาตรฐานแล้ว

สินค้าที่พบสารตกค้างเกินมาตรฐานส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทพืชผักสวนครัว ซึ่งบริโภคในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีการเพาะปลูกในประเทศอื่นๆ จึงยังไม่มีข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อกำหนดมาตรฐาน ในเรื่องนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย มกอช. จะเร่งดำเนินการกำหนดมาตรฐานตามหลักสากลร่วมกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับใช้ในการกำหนดค่ามาตรฐานต่อไป

"การที่พบสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ในกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าผักผลไม้เหล่านี้ ไม่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย ผู้บริโภคไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องความปลอดภัยผัก ผลไม้ จนเกินไป เพราะสารตกค้างนี้จะเกิดอันตรายต่อเมื่อผู้บริโภค บริโภคในปริมาณมาก นอกจากนี้การล้างผักผลไม้ก็ยังเป็นกระบวนสำคัญที่จะช่วยลดสารตกค้างเหล่านี้ได้" รองเลขาธิการ มกอช. กล่าว

ส่วนนายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เปิดเผยว่า เพื่อประเมินความปลอดภัยของผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านอาหารของประเทศ มีบทบาทหน้าที่วิจัยพัฒนาองค์ความรู้ เฝ้าระวังคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร กำหนดมาตรฐานการวิเคราะห์และพัฒนาห้องปฏิบัติการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ในปี 2560 ได้ดำเนินการศึกษาปริมาณสารพิษตกค้างที่ผู้บริโภคได้รับจริงจากอาหาร ที่เรียกว่า "Total Diet Study" ซึ่งเป็นการประเมินการได้รับสัมผัสที่องค์การอนามัยโลกยอมรับว่าเป็นการศึกษาที่ให้ข้อมูลที่แสดงการได้รับสารพิษจากอาหารได้อย่างแม่นยำใกล้เคียงความเป็นจริงเพื่อประเมินความเสี่ยงของคนไทย โดยเก็บตัวอย่างอาหารครอบคลุมทั่วทุกภาคตามข้อมูลผู้บริโภคของประเทศไทยมาตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการที่สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยตรวจวิเคราะห์สารพิษสารปนเปื้อน ทั้ง 5 ประเภท ได้แก่ 1) สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช 2) โลหะหนัก 3) สารกลุ่มไดออกซิน และสารกลุ่มพีซีปีที่มีโครงสร้างคล้ายไดออกซิน 4) สารกลุ่มพีเอเอช (polycyclic aromatic hydrocarbons, PAHs) และ5) ยาสัตว์ตกค้าง

นายแพทย์สมฤกษ์ ยืนยันด้วยว่า ผลการวิเคราะห์พบว่าคนไทยมีความปลอดภัยจากการได้รับสารพิษสารปนเปื้อนทั้ง 5 ประเภท จากอาหารที่บริโภค โดยสารพิษตกค้างชนิดที่พบสูงสุด พบเพียงไม่เกิน 15% ของค่าปลอดภัย และส่วนใหญ่พบไม่ถึง 1% ของค่าปลอดภัย ซึ่งหากพบสารพิษตกค้างมากกว่า 100% ของค่าปลอดภัย แสดงว่าผู้บริโภคจะได้รับอันตรายจากอาหารที่บริโภค บ่งชี้ว่าการปนเปื้อนโลหะหนักจากอุตสาหกรรมการผลิตภาคเกษตร และการกำกับดูแลควบคุมการใช้สารเคมีต่างๆ ที่เป็นปัจจัยการผลิตของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องในการเฝ้าระวังปัญหาดังกล่าว และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปีงบประมาณ 2561 กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินงานบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยจะดำเนินการโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย ภายใต้นโยบาย Green & Clean Hospital ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรปลอดภัยและสร้างแรงจูงใจให้กับเกษตรกรในการผลิตสินค้าเกษตรตามมาตรฐานอีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ ในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรฯ และ กระทรวงสาธารณสุข จะร่วมมือกันในการเฝ้าระวังความปลอดภัยของผู้บริโภค ทั้งจากแหล่งผลิตและแหล่งจำหน่ายอย่างเข้มข้น ใกล้ชิดและต่อเนื่องต่อไป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๐ เม.ย. COM7 เดินหน้าเต็มสปีด EV7 ส่งมอบแท็กซี่ไฟฟ้าล็อตแรก ดันเมกะเทรนด์ EV สู่หัวใจเมือง
๓๐ เม.ย. GCAP ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ไฟเขียวผ่านฉลุยทุกวาระ พร้อมเดินหน้าแผนธุรกิจขยายสู่กลยุทธ์ Non Lending
๓๐ เม.ย. PYLON จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผู้ถือหุ้นไฟเขียวจ่ายปันผล 0.04 บาท/หุ้น
๓๐ เม.ย. LDC จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 มุ่งเป็นคลินิกทันตกรรมพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงง่าย
๓๐ เม.ย. ผู้ถือหุ้น TATG ไฟเขียวจ่ายปันผล 0.07 บาท/หุ้น ลงทุนเครื่องจักรใหม่เสริมแกร่งสายการผลิต พิชิตเป้ารายได้ 3,000
๓๐ เม.ย. ADVICE จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นรูปแบบ Hybrid ประจำปี 2568 ผถห.ไฟเขียวทุกวาระ เคาะแจกปันผล 0.175 บ./หุ้น
๓๐ เม.ย. LE ร่วมงานสถาปนิก'68 โชว์นวัตกรรมแสงสว่างอัจฉริยะ เสริมภาพผู้นำ Lighting Solutions Provider
๓๐ เม.ย. SELIC จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ปี 2568 ผู้ถือหุ้นเห็นชอบทุกวาระ อนุมัติจ่ายปันผล 0.038 บาท/หุ้น เดินหน้า 3 ธุรกิจ
๓๐ เม.ย. STA เปิดบ้านต้อนรับภาครัฐ โชว์มาตรฐานรับซื้อยางโปร่งใส เป็นธรรม หนุนรัฐต้านยางเถื่อน
๓๐ เม.ย. กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือเอกชน ปั้นช่างเชื่อมโกอินเตอร์ รายได้ทะลุ 70,000 บาทต่อเดือน