HOTPOT รีแบรนด์ใหม่เป็น “เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้” ใช้ชื่อย่อ JCKH เพื่อความหลากหลายธุรกิจ จ่อฮุบกิจการร้านอาหารเพิ่ม ลั่นผลงานเทิร์นอะราวด์ตั้งแต่ Q2 ทั้งปีลุ้นโชว์กำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปี

พุธ ๒๘ มีนาคม ๒๐๑๘ ๑๕:๒๕
HOTPOT ปรับโฉมใหม่เป็น "เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้" ใช้ชื่อย่อ JCKH เพิ่มความหลากหลายธุรกิจ อาหาร-เครื่องดิ่ม-บริการ "อภิชัย เตชะอุบล"มั่นใจผลงานเทิร์นอะราวด์ได้ตั้งแต่ Q2/61 ส่วนภาพรวมทั้งปี 2561 ลุ้นพลิกกลับมามีกำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังปรับกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจ-ควบคุมต้นทุนการผลิตอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเล็งเข้าซื้อกิจการร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มเติม แย้มมีผู้ประกอบการหลายรายขอเจรจาเชิญร่วมเป็นพันธมิตร

นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) หรือ HOTPOT เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติเห็นชอบให้เสนอต่อทีประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทและชื่อย่อหลักทรัพย์ จากชื่อ บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "HOT POT PUBLIC COMPANY LIMITED" เปลี่ยนเป็น บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) และมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "JCK HOSPITALITY PUBLIC COMPANY LIMITED" และ เปลี่ยนชื่อย่อ จาก HOTPOT เป็น JCKH

ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯเริ่มดำเนินธุรกิจร้านอาหารสุกี้ชาบู โดยใช้ชื่อแบรนด์หลักคือ ฮอท พอท เกินกว่า 15 ปี ต่อมาภายหลังบริษัทฯได้เข้าซื้อกิจการร้านอาหารแบรนด์ไดโดมอน และเปิดร้านอาหารประเภทอื่นๆ โดยใช้ชื่อแบรนด์แตกต่างกันออกไปเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันดำเนินกิจการร้านอาหารภายใต้แบรนด์ต่างๆ อันได้แก่ ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟ่ต์, ฮอท พอท สุกี้ชาบู, ไดโดมอน, ซิกเนเจอร์, ทูมาโท้อิตาเลียน คิทเช่น และซุปเปอร์ พอท

เขากล่าวต่อว่าในปีนี้จะปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่โดยบริษัทฯ มีแผนจะเข้าซื้อกิจการร้านอาหารเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของประเภทอาหารและมีแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น และในปัจจุบันมีหลายแบรนด์เชิญเข้าไปหารือให้เข้าร่วมทุนและเป็นพันธมิตร คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วๆ นี้

"การเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยจะครอบคลุมทั้งในส่วนของอาหาร เครื่องดื่มและการบริการ เพราะได้มีการปรับกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจใหม่ให้มีร้านค้าภายใต้การบริหารหลากหลายแบรนด์ และมีอาหารหลากหลายประเภทมากขึ้น โดยบริษัทฯมีเป้าหมายในการพัฒนาร้านอาหารรูปแบบใหม่ โดยไม่จำกัดเฉพาะอาหารประเภทสุกี้ชาบู เพื่อตอบสนองได้ทันกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งจะเน้นในเรื่องของคุณภาพอาหาร และการบริการสูงขึ้น"

นายอภิชัย มั่นใจว่าธุรกิจในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้มีการปิดสาขาของร้านฮอท พอท สุกี้ชาบู ประมาณ 40 สาขา ทำให้ปัจจุบันฮอตพอทมีสาขาเหลือจำนวน 104 แห่ง เพื่อลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนการผลิตอาหาร (food cost) จากเดิมอยู่ที่ 48-50% ของรายได้ ปัจจุบันสามารถลดลงเหลือประมาณ 42% และคาดว่าจะสามารถปรับลดลงได้อีก ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีกับผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทฯ และคาดว่าผลประกอบการในส่วนของ EBITDA จะเป็นบวกได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2561 และในปีนี้คาดว่าจะเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ผลกำไรสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้

"จากการปิดสาขาฮอทพอทที่อยู่ในทำเลไม่เหมาะสม และเป็นสาขาที่ไม่ทำกำไร ทำให้ส่งผลกระทบต่องบการเงินในปีที่ผ่านมาประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากมีการ Right Off ทรัพย์สินออกไป อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ ผมมั่นใจว่า ธุรกิจอาหารของบริษัทฯจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ซึ่งในส่วนของ ฮอทพอท ได้มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ และปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจโดยหันมาเจาะฐานลูกค้าพรีเมี่ยมมากขึ้น นอกจากนี้จะมีการเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ ให้มากขึ้นด้วย ทำให้มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทฯในปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ"

พร้อมกันนี้คณะกรรมการมีมติที่จะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียน จำนวน 73,080,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 121,800,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 194,880,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ จำนวน 292,320,000หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท

โดยจะแบ่งจัดสรรจำนวนไม่เกิน 243,600,000 หุ้น จะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ (Rights Offering) ในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ1.30 บาท และอีกส่วนจำนวนไม่เกิน 48,720,000 หุ้น จะเสนอขายในคราวเดียวหรือแบ่งเป็นส่วนๆ ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามแบบมอบอำนาจไป (General Mandate) ทั้งนี้ให้กำหนดวันประชุมสามัญผู้หุ้นประจำปี 2561ในวันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561

"เงินที่คาดว่าจะได้รับจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ประมาณ 317 ล้านบาท จะทำให้มีส่วนของทุนเพิ่มขึ้นเป็น 350 ล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่เพียง 33.38 ล้านบาท DE Ratio ลดจาก 15 เท่า เหลือเพียง 1.4 เท่า ดังนั้นการเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีฐานทุนและฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้น โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับขยายธุรกิจและเทคโอเวอร์ร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เพื่อสร้างรายได้และกำไรให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต"นายอภิชัย กล่าวในที่สุด

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๘:๓๓ COM7 เดินหน้าเต็มสปีด EV7 ส่งมอบแท็กซี่ไฟฟ้าล็อตแรก ดันเมกะเทรนด์ EV สู่หัวใจเมือง
๑๘:๓๖ GCAP ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ไฟเขียวผ่านฉลุยทุกวาระ พร้อมเดินหน้าแผนธุรกิจขยายสู่กลยุทธ์ Non Lending
๑๘:๔๔ PYLON จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผู้ถือหุ้นไฟเขียวจ่ายปันผล 0.04 บาท/หุ้น
๑๘:๓๙ LDC จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 มุ่งเป็นคลินิกทันตกรรมพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงง่าย
๑๘:๑๒ ผู้ถือหุ้น TATG ไฟเขียวจ่ายปันผล 0.07 บาท/หุ้น ลงทุนเครื่องจักรใหม่เสริมแกร่งสายการผลิต พิชิตเป้ารายได้ 3,000
๑๘:๕๗ ADVICE จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นรูปแบบ Hybrid ประจำปี 2568 ผถห.ไฟเขียวทุกวาระ เคาะแจกปันผล 0.175 บ./หุ้น
๑๘:๓๖ LE ร่วมงานสถาปนิก'68 โชว์นวัตกรรมแสงสว่างอัจฉริยะ เสริมภาพผู้นำ Lighting Solutions Provider
๑๘:๔๖ SELIC จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ปี 2568 ผู้ถือหุ้นเห็นชอบทุกวาระ อนุมัติจ่ายปันผล 0.038 บาท/หุ้น เดินหน้า 3 ธุรกิจ
๑๘:๔๙ STA เปิดบ้านต้อนรับภาครัฐ โชว์มาตรฐานรับซื้อยางโปร่งใส เป็นธรรม หนุนรัฐต้านยางเถื่อน
๑๘:๓๕ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือเอกชน ปั้นช่างเชื่อมโกอินเตอร์ รายได้ทะลุ 70,000 บาทต่อเดือน