ราคาน้ำมันดิบคาดปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังอุปทานเริ่มปรับตัวลดลง

จันทร์ ๑๗ ธันวาคม ๒๐๑๘ ๑๗:๑๓
บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ.ไทยออยล์: ฉบับวันที่ 17 ธันวาคม 2561

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 49 - 54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 58 – 63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (17 - 21 ธ.ค. 61)

ราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแรงหนุนของปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับลดลงจากอุปสงค์ในประเทศและปริมาณการส่งออกที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากอุปทานน้ำมันดิบโลกที่ปรับลดลง หลังผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกตัดสินใจที่จะปรับลดลงกำลังการผลิตในการประชุมที่ผ่านมา ประกอบกับ อุปทานน้ำมันดิบของลิเบียก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเช่นกัน หลังประเทศเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น รวมถึงอุปสงค์น้ำมันที่มีแนวโน้มได้รับแรงกดดัน หลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายด้าน

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดลง หลังโรงกลั่นในสหรัฐฯ ยังคงอัตราการกลั่นในระดับสูงเพื่อรองรับความต้องการใช้ในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับ ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ คงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง หลังส่วนต่างราคาระหว่างราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI กว้างมากกว่า 9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งดึงดูดให้ผู้ซื้อหันมาซื้อน้ำมันดิบสหรัฐฯ มากขึ้น โดยในสัปดาห์ล่าสุด สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงราว 1.21 ล้านบาร์เรล เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ระดับ 442 ล้านบาร์เรล

ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลงราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือน ม.ค. 62 เป็นเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน โดยล่าสุดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มโอเปก คาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน ธ.ค. 61 ซึ่งลดลงจากเดือนที่ผ่านมาที่อยู่ที่ระดับ 11.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียในเดือน ธ.ค. 61 คาดว่าจะปรับลดลงมาต่ำกว่า 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งลดลงจากเดือนที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ระดับ 8.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หลังกองกำลังติดอาวุธบุกยึดแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ อย่างแหล่ง El Sharara กำลังการผลิตกว่า 315,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย (NOC) ต้องประกาศเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) ยกเลิกการส่งน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตดังกล่าว นอกจากนี้ ยังส่งผลให้แหล่งผลิตน้ำมันดิบ El Feel กำลังการผลิตราว 73,000 บาร์เรลต่อวัน ได้รับผลกระทบ และต้องหยุดดำเนินการด้วย

จับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ของปีนี้ มาอยู่ที่ร้อยละ 2.25-2.50 อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทรงตัว ประกอบกับการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่อ่อนตัวในเดือน พ.ย. 61 ที่ผ่านมา

ตลาดยังคงกังวลกับอุปสงค์ที่มีแนวโน้มเติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และเรื่องการถอนตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังนางเธเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศเลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลง Brexit ออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยให้เหตุผลว่าอังกฤษยังคงมีธุรกรรมที่ผูกติดกับสหภาพยุโรปอยู่มากที่ยังไม่สามารถเจรจาหาข้อตกลงได้หากเกิด Brexit ขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังคงเผชิญกับปัญหาทางด้านการเมืองของสหรัฐฯ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ปิดรัฐบาลกลาง (Federal Government) หลังแกนนำพรรคเดโมแครต ปฏิเสธสนับสนุนข้อเรียกร้องของนายทรัมป์ ที่จะเบิกงบประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 3/2561 สหรัฐฯ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคลสหรัฐฯ และดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (10 - 14 ธ.ค. 61)

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 1.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 51.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 1.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 60.28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก ประกอบกับการประกาศ Force Majeure ของลิเบีย ที่จะส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันของลิเบียปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ รวมถึงการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง
๐๓ พ.ค. มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า โครงการบ้านชื่นสุขสร้างสุขผู้สูงอายุ ตอกย้ำ ความกตัญญู
๐๓ พ.ค. รีเล็กซ์ โซลูชันส์ เผยกลุ่มค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคยังไม่ใช้ศักยภาพของ AI มากนัก
๐๓ พ.ค. กทม. บูรณาการหน่วยงานเร่งแก้ปัญหาเด็กเช็ดกระจก-ขายของริมถนน ใช้สหวิชาชีพแก้ปัญหารายครอบครัว