สารพันปัญหาเรื่องของฝ้าสำหรับผู้หญิง

อังคาร ๑๕ มกราคม ๒๐๑๙ ๑๕:๔๒

ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเดินทางมารักษาฝ้า (Melasma)กับหมอผิวหนังเป็นจำนวนมาก ฝ้ามักพบในคนที่อยู่ในประเทศเขตร้อน เช่น ไทย พม่า ลาวและกัมพูชา เนื่องจากได้รับแสงแดดมากกว่า ทำให้อุบัติการณ์ของการเกิดฝ้าในประเทศไทยพบได้ประมาณ 0.25-0.33% และอัตราส่วนของผู้หญิงต่อผู้ชายคือ 2-24 ต่อ 1 โดยข้อมูลสถิติโรคผิวหนังของภาควิชาตจวิทยา โรงพยาบาลศิริราชในปี พ.ศ. 2545 พบว่าผู้ป่วยที่มารับการรักษาฝ้าถึง 2.3% ของผู้ป่วยทั้งหมด สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จึงอยากจะให้คำแนะนำเพื่อเป็นความรู้สู่ประชาชนในเรื่องการดูแลรักษาฝ้าให้กับสาว ๆ ทุกคนที่รักความสวยความงามเฝ้าระวังไม่ให้เป็นฝ้าอย่างถูกวิธี

เรื่องของฝ้าเป็นปัญหาในเรื่องของความสวยงาม ไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อสุขภาพ ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แต่ถ้าผู้ป่วยมีความกังวลเรื่องความสวยงาม อาจต้องทำความเข้าใจว่าการรักษาฝ้านั้นค่อนข้างยาก ใช้เวลาในการรักษานานและอาจหายไม่หมดหรือหายแล้วก็อาจกลับเป็นใหม่ได้ง่าย ฝ้า จะมีลักษณะเป็นผื่นที่มีลักษณะเป็นปื้นสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า และมักเป็นเท่ากันทั้งสองข้าง (symmetry) โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก และคาง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (melanin pigments) ที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ดังนั้นผื่นจึงมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ภาวะนี้มักเกิดในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ในผู้ชายก็พบได้ และพบในผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า ประกอบด้วย 1.การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตทั้ง A (UVA) และ B (UVB) ที่มีอยู่ในแสงแดด เป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า 2.ฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะ estrogen เนื่องจากผู้หญิงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย โดยมักพบในช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิดและช่วงตั้งครรภ์ และ 3.พันธุกรรมและเชื้อชาติ โดยพบว่าคนเอเชียเป็นฝ้าได้ง่ายกว่าคนผิวขาวและสามารถพบในครอบครัวเดียวกันได้บ่อยด้วย

สำหรับในเรื่องของการรักษาฝ้านั้น มักใช้หลายวิธีในการรักษาร่วมกัน คือ 1.การรักษาตามสาเหตุและแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงจากสาเหตุนั้น เช่น พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือใช้ครีมกันแดด 2.การทำให้ฝ้าจางลงโดยการใช้สารที่ทำให้ผิวขาว โดยทั่วไปมักใช้ยาทาผสมกันหลายตัว และต้องดูผลการรักษาบ่อย ๆ ทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อสังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ผิวตรงที่ทายามีอาการแดง หรือบางลงกว่าปกติ ถ้ามีผลข้างเคียงอาจต้องปรับยา และ 3.การลอกฝ้าด้วยสารเคมี ซึ่งเป็นวิธีการเสริม เพื่อทำให้ฝ้าจางเร็วขึ้น โดยทั่วไปจะใช้กรดอ่อน ๆ เช่น alpha hydroxyl acids (AHAs) หรือ trichloracetic acid 30-50% เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังในชั้นบน ๆ หลุดลอกออก และทำให้เม็ดสีที่อยู่ด้านบนหลุดออกไป การลอกฝ้านั้นจะต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น แต่หากทำเองหรือไม่ใช่แพทย์ผู้ไม่ชำนาญมีโอกาสเสี่ยงซึ่งผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง เช่น หน้าลอกหรือไหม้ได้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๗ เม.ย. อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม VICHY LIFTACTIV BRAND PARTNER ตัวแทนประเทศไทย ร่วมงาน 'V.I.C VICHY INTEGRATIVE CENTER' อีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ของแบรนด์ VICHY (วิชี่) อวดลุคเซ็กซี่สุดฮอต สวย ปัง
๒๖ เม.ย. ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๒๖ เม.ย. NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๒๖ เม.ย. แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๒๖ เม.ย. แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๒๖ เม.ย. RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๒๖ เม.ย. ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๒๖ เม.ย. เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๒๖ เม.ย. ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๒๖ เม.ย. ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud