ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาสังคมไทยถูกดึงเข้าสู่สังคมในยุค New Normal อย่างกะทันหัน ซึ่ง NIA คาดว่าปัญหาเหล่านี้จะยังคงอยู่ไปอีกหลายปี และส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากปัญหาที่เกิดกระทบต่อโครงการสร้างพื้นฐานทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ สำหรับปี 2564 การสร้างนวัตกรรมจะไม่ได้ตอบโจทย์แค่ปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เท่านั้น แต่จะสะท้อนไปถึงการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน และลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ โดย NIA จะเน้นการเสริมพลังและสร้างโอกาสนวัตกรรมท้องถิ่นผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งเอกชน รัฐ สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างให้จังหวัดหัวเมืองกลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในระดับภูมิภาค และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพในพื้นที่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการส่งเสริมให้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยหรือองค์ความรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ให้เกิดการจ้างงานภายในภูมิภาคเพื่อสร้างความเท่าเทียม สร้างโอกาสทางนวัตกรรมในพื้นที่ รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกในภาคธุรกิจให้มากขึ้น โดยวางเป้าหมายว่าในปี 3 ปีข้างหน้าจะต้องสามารถสร้าง Deep Tech Startup 100 ราย และสร้างบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ 3,000 ราย จาก 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งเป็น "นวัตกรรมเทคโนโลยีเชิงลึก" ได้แก่ เกษตร (Agritech) อาหาร (FoodTech) อารีย์ (AI, Robotic, Immersive; ARI) อวกาศ (SpaceTech) สุขภาพ (Healthtech) และ "นวัตกรรมเชิงคอนเท้นท์" ได้แก่ มาร์เทค (MARtech - ดนตรี/ศิลปะ/นันทนาการ) และการท่องเที่ยว/ไมซ์ (Traveltech & MICE)
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า สำหรับการตีโจทย์วิกฤตให้เป็นโอกาส จะพบว่า "เงิน" ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรม หากแต่เป็นโอกาสทางนวัตกรรมที่ถูกหยิบยื่นให้กับผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพในภูมิภาค เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ดังนั้น NIA จึงออกแบบและพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ให้ตอบโจทย์การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพให้ครอบคลุมในทุกมิติ ผ่าน 7 เครื่องมือพร้อมเสิร์ฟ ได้แก่
- Incubator/Accelerator ซึ่งมีทั้งมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน เพื่อให้ความรู้ บ่มเพาะ และเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพ เช่น โครงการ AgGrowth, Space F
- Investment โดย NIA จะเป็นสะพานเชื่อมผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพให้เข้าถึงแหล่งลงทุนมากขึ้น ผ่านเครือข่ายนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
- Innovation Organization / Digital / Transformation เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรมีการใช้ระบบดิจิทัล หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจตัวเองให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม รวมถึงการใช้เครื่องมือในการประเมินองค์กรนวัตกรรม
- SID หรือหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม เพื่อบ่มเพาะ ยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถด้วยการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม ให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมหรือผู้ที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมจนสามารถพัฒนาแนวคิดสู่ต้นแบบหรือโครงการนำร่องได้ ซึ่งปัจจุบันมี 8 แห่ง กระจายอยู่ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
- Grant เงินทุนอุดหนุนให้กับผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพ ผ่านกลไกการสนับสนุนของ NIA หรือ สถาบันการเงินพันธมิตร ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
- Region/Innovation Hub/Innovation District เพื่อสร้างให้เกิดการทำงานร่วมกันในแบบเครือข่ายที่เข้มแข็ง ซึ่งถือเป็นการสร้างศักยภาพให้แก่พื้นที่นั้นๆ โดยการสร้างนวัตกรรมเชิงพื้นที่จำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย
- Entrepreneurial University การส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นผู้ประกอบการในระดับมหาวิทยาลัย โดยมุ่งเน้นให้ความรู้และความเข้าใจในการทำธุรกิจนวัตกรรม สามารถสร้างโมเดลการทำธุรกิจใหม่ผ่านเครือข่ายมหาวิทยาลัยหลักๆ ตามหัวเมืองใหญ่ของประเทศ เพื่อกระจายความรู้และโอกาสไปยังท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม NIA ตั้งเป้าอยากเห็นผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนสามารถสร้างโมเดลธุรกิจนวัตกรรมให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบัน โดย NIA เล็งเห็นถึง 7 นวัตกรรมที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศได้ในช่วงที่ระบบนวัตกรรมกำลังเปลี่ยนแปลง ได้แก่
- นวัตกรรมรูปแบบธุรกิจ (Business Model Innovation) ส่งเสริมให้บริษัทเอกชนสามารถสร้างโมเดลธุรกิจในรูปแบบใหม่ด้วยนวัตกรรม รวมถึงการหาเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ
- นวัตกรรมเชิงพื้นที่ (Area-Based Innovation) โดยสร้างหน่วยนวัตกรรมในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อขยายโอกาสทางนวัตกรรมในระดับภูมิภาค ช่วยให้เกิดการจ้างงาน และสร้างรายได้ในพื้นที่
- นวัตกรรมสังคม (Social Innovation) เน้นลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชุมชนเมือง และพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ผู้คนให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนวัตกรรมเพื่อสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19
- นวัตกรรมภาครัฐและสาธารณะ (Public-Sector Innovation) เป็นเรื่องใหม่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมในภาคการบริการประชาชน และเปิดโอกาสให้หน่วยงานระดับกรมทำงานใกล้ชิดกับสตาร์ทอัพมากขึ้น เนื่องจากเอสเอ็มอีขนาดกลางและใหญ่มักจะสามารถเข้าทำงานร่วมกับภาครัฐอยู่แล้ว
- นวัตกรรมข้อมูล (Data-Driven Innovation) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญสำหรับใช้วิเคราะห์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการวิเคราะห์ว่าพื้นที่ใดมีโอกาสในการเข้าถึงระบบนวัตกรรม โดยผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพสามารถหยิบข้อมูลไปประกอบการทำธุรกิจได้เลย ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดให้เข้าถึงข้อมูลได้ประมาณกลางปี 2564
- นวัตกรรมกระบวนทัศน์ (Paradigm Innovation) เน้นเรื่องการมองอนาคตนวัตกรรม เพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น ทำให้สามารถเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที
- นวัตกรรมเชิงศิลป์ (Aesthetic Innovation ) ทั้ง ดนตรี ศิลปะ และนันทนาการ โดยเป็นนวัตกรรมที่จะส่งเสริมเพื่อเกาะกระแสความต้องการของคนในสังคมที่เสพคอนเท้นท์บันเทิงต่างๆ เพราะที่ผ่านมาหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ และจีน สามารถสร้างสรรค์จนประสบความสำเร็จและสร้างรายได้มหาศาลกลับเข้าสู่ประเทศ
ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์