คน กทม 68.6 % ไม่เชื่อว่าล็อกดาวน์ จะทำให้ผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ลดลง 55.6 % อยากให้รัฐบาลมีโครงการ เราชนะ เพื่อเยียวยาด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชน

พฤหัส ๒๙ กรกฎาคม ๒๐๒๑ ๑๖:๐๗
ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 เดือนกรกฏาคม 2564 โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,119 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 17 - 23 กรกฏาคม 2564 กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 เดือนกรกฏาคม 2564 เนื่องจากวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ประกาศ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ซึ่งประกาศมาตรการยกระดับคุมโควิดที่กำลังระบาดหนัก ล็อกดาวน์-เคอร์ฟิวพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัด อย่างน้อย 14 วัน โดยมีกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล ได้แก่ จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา เป็น และ วันที่ 18 กรกฎาคม 2564 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) เพื่อกำหนดปรับปรุงเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเพิ่มพื้นที่ในอีก 3 จังหวัด คือ จังหวัดอยุธยา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา จากการประกาศจะมีผลถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2564 รายละเอียดของการประกาศมีดังต่อไปนี้ห้ามออกนอกเคหสถานช่วงเวลา 21.00-04.00 น. ห้ามรวมกลุ่มกิจกรรมเกิน 5 คนขอให้ประชาชนงดออกจากเคหสถานหรือที่พำนักโดยไม่จำเป็นในเวลากลางวัน ยกเว้นเพื่อจัดหาอาหาร ยา พบแพทย์ รับวัคซีน และอาชีพจำเป็น ให้ทำงานจากที่บ้าน 100% ทั้งรัฐและเอกชน ยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณสุข การควบคุมโรค ระบบสาธารณูปโภค การจราจร บรรเทาสาธารณภัย การรักษาความสงบ หากจำเป็นต้องเคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล และสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 เดือนกรกฏาคม 2564 ที่มีผู้ติดเชื้อหลักหมื่นคนต่อเนื่อง

มาตรการเยียวยาโควิดและมาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายของประชาชน ภายใต้วงเงิน 4.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ สำหรับลูกจ้างและกิจการใน 13 จังหวัดสีแดงเข้ม (กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา อยุธยา ชลบุรี และ ฉะเชิงเทรา) 2. มาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน สำหรับประชาชนทั่วประเทศ 3. มาตรการความช่วยเหลือบรรเทาค่าใช้จ่ายของประชาชนด้านอื่น ๆ เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา และมาตราช่วยเหลือลูกหนี้ การประกาศของนายกรัฐมนตรี เรื่องการเปิดประเทศภายในเวลา 120 วัน โดยจะต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชากรอย่างน้อย 50 ล้านคน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กว่า 17% ของจีดีพีมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 เดือนกรกฏาคม 2564 โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ในการใช้ชีวิตประจำวัน ร้อยละ 76.5 และคิดว่าการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 จะทำให้มีการปรับตัวและเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ร้อยละ 83.5

โดยเห็นด้วยกับการห้ามออกจากเคหะสถาน(เคอร์ฟิว) ร้อยละ 47.9 คิดว่ามาตรการล็อกดาวน์ 10 จังหวัด จะทำให้ผู้ติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ไม่ลดลง ร้อยละ 68.6

ในส่วนของการเปิดประเทศที่ให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 82.6 และ ไม่เห็นด้วยกับการให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ร้อยละ 75.9

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่ามาตรการช่วยเหลือของรัฐ มาตรการที่คิดว่าสามารถเยียวยาด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม อันดับหนึ่งคือ โครงการ เราชนะ ร้อยละ 60.2 อันดับสองคือ โครงการ ม.33 เรารักกัน ร้อยละ 49.0 อันดับสามคือ โครงการ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ 41.6 อันดับสี่คือ โครงการ คนละครึ่ง ร้อยละ 38.6 และอันดับห้าคือ โครงการ มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ร้อยละ 35.1

และอยากให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือของรัฐ มาตรการที่คิดว่าสามารถเยียวยาด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชน อันดับหนึ่งคือ โครงการ เราชนะ ร้อยละ 55.6 อันดับสองคือ โครงการ มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ร้อยละ 45.9 อันดับสามคือ โครงการ ม.33 เรารักกัน ร้อยละ 45.0 อันดับสี่คือ โครงการ มาตรการพักหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ร้อยละ 44.8 และอันดับห้าคือ โครงการ มาตรการสินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 ร้อยละ 37.8

ที่มา: ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๒:๑๒ ดร.สุนทร และอารยา อรุณานนท์ชัยร่วมเฝ้ารับ และส่งเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
๑๒:๑๙ EY เผย ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง ชี้เป็นโอกาสของธุรกิจค้าปลีกสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI
๑๒:๐๕ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ร่วมกับ สวรส. เผยผลวิจัยความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อทางโลหิตบริจาค ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
๑๒:๔๗ จังหวัดน่าน เปิดงานกาแฟ ตอกย้ำคุณภาพเมล็ดกาแฟน่าน ดีระดับประเทศ
๑๒:๓๐ กลยุทธ์สร้างคอนเนคชั่นและคอมมูนิตี้ที่เข้มแข็ง เพิ่มข้อได้เปรียบให้ธุรกิจได้อย่างไร
๑๒:๔๒ เซ็ตเมนูมื้อกลางวันสไตล์สเปน ความอร่อยที่ต้องบอกต่อ ณ ห้องอาหารอูโนมาส โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์
๑๒:๐๒ W บิ๊กเชนจ์! ผถห.โหวตเพิ่มทุน 1.65 พันล้านหุ้น ขาย PP เสริมแกร่ง รับแผนปี 67 เทิร์นอะราวด์เข้าถือฟรุตต้าฯ 51% - ปลดล็อก CB แจกฟรี W-W7 ให้ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน
๑๒:๒๔ โครงการ จุฬาอารี ได้รับรางวัล Winner THE Awards Asia 2024 ประเภท Research Project of the Year
๑๒:๓๖ PYLON จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผู้ถือหุ้นไฟเขียวจ่ายปันผล 0.14 บาท/หุ้น
๑๒:๑๙ บอร์ด A5 ไฟเขียวออกวอร์แรนต์ A5-W4 แจกผู้ถือหุ้นเดิม