ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ถือเป็นข่าวดีสำหรับแวดวงสตาร์ทอัพที่ผลการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัพโลกประจำปี 2564 (Global Startup Ecosystem Index 2021) ที่ประเทศไทยยังคงครองอันดับที่ 50 และมีถึง 4 เมืองที่ติดใน 1,000 อันดับแรกของเมืองที่มีระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ดีที่สุด โดยกรุงเทพสามารถกระโดดขึ้น 19 อันดับจากอันดับ 90 สู่อันดับที่ 71 โดยมีความโดดเด่นในเรื่องของอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีการค้าปลีก ซึ่งได้อันดับที่ 33 ของโลก เชียงใหม่ อยู่ในอันดับที่ 397 ภูเก็ต อันดับที่ 442 (พุ่งขึ้น 428 อันดับจากเดิม อันดับที่ 870)
และสุดท้ายเมืองน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาติดอันดับเป็นปีแรก นั่นคือ พัทยา อยู่ในอันดับที่ 833 สำหรับปัจจัยหลักในการประเมินของเว็บไซต์ StartupBlink ได้แก่ 1) ปัจจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย จำนวนสตาร์ทอัพ จำนวนโค-เวิร์คกิ้ง สเปซ (Co-Working Space) จำนวนโปรแกรมเร่งการเติบโต (Accelerator) และจำนวนกิจกรรมพบปะของสตาร์ทอัพ 2) คุณภาพของสตาร์ทอัพ และสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย จำนวนผู้ใช้งานสตาร์ทอัพ (Traction) จำนวนบริษัท/สาขาของบริษัทที่ดำเนินงานด้านการวิจัยและเทคโนโลยี จำนวนสาขาของบริษัทข้ามชาติ ปริมาณการลงทุน จำนวนลูกจ้าง จำนวนสตาร์ทอัพระดับ Unicorns, Exits และ Pantheon จำนวนสตาร์ทอัพที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ระดับโลก และจำนวนเหตุการณ์เกี่ยวกับสตาร์ทอัพระดับโลก และ 3) สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ประกอบด้วย ความสะดวกในการธุรกิจ ความเร็วอินเทอร์เน็ต อิสระในการใช้อินเทอร์เน็ต การลงทุนด้านงานวิจัย ความพร้อมของเทคโนโลยีด้านการบริการ จำนวนผู้ถือสิทธิบัตรต่อประชากรทั้งหมด และความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ"
จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นตั้งใจของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยในการร่วมกันสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่เอื้อต่อการเกิดนวัตกรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็น "ประเทศแห่งนวัตกรรม" ที่ผ่านมากระทรวง อว. มีบทบาทหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนระบบนิเวศนวัตกรรม และระบบนิเวศสตาร์ทอัพ โดยมุ่งเน้นการพัฒนากำลังคน บ่มเพาะ และพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ การปรับโครงสร้างระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ รวมถึงการจัดสรรเงินทุนสนับสนุนเพื่อให้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของประเทศ
ด้าน ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า NIA ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาทั้งในส่วนกลางและในระดับภูมิภาคเพื่อกระจายศูนย์กลางความเจริญ สร้างเมืองน่าอยู่ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในเมืองและเชื่อมโยงความเจริญสู่ชนบท ซึ่งหนึ่งในกลไกหลักคือ การพัฒนา "ย่านนวัตกรรม: Innovation District" หรือ พื้นที่ที่มีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการ มีการผสมผสานระหว่างสถาบัน โรงเรียน ที่อยู่อาศัย ร้านค้าปลีก และพื้นที่สำนักงาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรมแบบเปิด คือการทำงานร่วมกัน การแลกเปลี่ยนความคิดและเทคโนโลยีระหว่างกัน
โดยเมือง 4 เมืองที่ติดอันดับนั้น NIA ก็ได้มีการลงพื้นที่พัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพตลอดมา กรุงเทพ มีการพัฒนาย่านนวัตกรรม 4 แห่ง ได้แก่ ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID) มีโปรแกรมพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรและผู้ประกอบการเพื่อต่อยอดนวัตกรรมทางการแพทย์ และผลักดันการลงทุนในย่าน ย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทคปุณณวิถี มีกิจกรรมทดลองใช้สินค้าและบริการธุรกิจนวัตกรรมในพื้นที่ (Bangkok Cybertech sandbox) ทำให้เกิดการร่วมแชร์ข้อมูลและทรัพยากรด้านการพัฒนาสตาร์ทอัพระหว่างภาครัฐและเอกชน ย่านนวัตกรรมกล้วยน้ำไท มุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมบนความคิดสร้างสรรค์และดิจิทัลบนฐานอุตสาหกรรมเดิมของย่าน ย่านนวัตกรรมอารีย์ มุ่งเน้นพัฒนาให้เป็นพื้นที่ทดสอบทดลองโซลูชั่นใหม่ (แซนด์บ็อกซ์) ด้วยเทคโนโลยี เอไอ, หุ่นยนต์ และ ไอโอที ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ เชียงใหม่ มีการพัฒนาย่านนวัตกรรม 2 ย่าน ได้แก่ ย่านนวัตกรรมการแพทย์สวนดอก (SMID) และย่านนวัตกรรมเกษตรอาหารแม่โจ้ อีกทั้งยังมีสำนักงานภูมิภาคแห่งแรกของ NIA และศูนย์กลางสตาร์ทอัพระดับโลก (Global Startup Hub) ที่มีความพร้อมและตอบโจทย์ผู้คนที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าในภูเก็ต และพัทยา จะยังไม่มีการพัฒนาย่านนวัตกรรมในพื้นที่ แต่ก็มีการสนับสนุนด้านนวัตกรรมเสมอมา ซึ่งในภูเก็ตมีการจัดกิจกรรม Open Innovation Road Show ภาคใต้ เพื่อสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบการนวัตกรรมในพื้นที่ มีโครงการสนามการเรียนรู้นวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทยสู่การเป็นนวัตกร และในพัทยา มีโครงการพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพเอื้อต่อการสร้างทรายเม็ดใหม่ด้านดีพเทค และเชื่อมโยงเครือข่ายเข้ากับองค์กรพันธมิตรในพื้นที่เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรรมและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ อีกทั้งยังมีย่านนวัตกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ ย่านนวัตกรรมบางแสน (ชลบุรี) ย่านนวัตกรรม ศรีราชา (ชลบุรี) และย่านนวัตกรรมบ้านฉาง (ระยอง) นอกจาก 4 เมืองนี้แล้ว NIA ก็ยังมีย่านนวัตกรรมในพื้นที่อื่น ๆ อีก ได้แก่ ย่านนวัตกรรมศรีจันทร์ (ขอนแก่น) ย่านนวัตกรรมโคราช (นครราชศรีมา) และย่านนวัตกรรมกิมหยง (สงขลา) รวม 12 ย่านนวัตกรรมทั่วประเทศไทยครอบคลุมทุกภูมิภาค
"ขณะนี้ประเทศไทยมียูนิคอร์นเกิดขึ้นแล้ว 3 ราย NIA ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพต่อไป และหวังว่าในปีหน้าเราจะได้เห็นยูนิคอร์นตัวที่ 4 ตัวที่ 5 และตัวต่อ ๆ ไปของประเทศไทย ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมต่อประเทศชาติ และประชาชน" ดร.พันธุ์อาจ กล่าวสรุป
ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์