หรือว่าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (Disruption Era) อย่างเช่นในปัจจุบัน การเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อาจไม่ได้สร้างความได้เปรียบอย่างเช่นเคย บทความนี้ ผู้เขียนจึงตั้งใจที่จะนำเสนอแนวคิดและมุมมองจากทฤษฎีและงานวิจัยทางด้านการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์และบทบาทของกลยุทธ์การแยกตัว หรือ Spin-off ที่น่าจะมีข้อคิดสำคัญที่เหมาะสมกับโลกในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
ประโยชน์ข้อที่ 1: ความคล่องตัวที่มากขึ้น
ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นปลาไวและฉลาดที่กินได้แม้แต่ยักษ์ใหญ่ ดังนั้นประโยชน์ข้อแรกของกลยุทธ์การแยกตัว คือการเพิ่มความคล่องตัวในการตัดสินใจ ที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง การเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มีความเชื่องช้า และไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ของโลก (และของโรค) ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ในกรณีลักษณะธุรกิจในบริษัทยักษ์มีความแตกต่างกัน เช่น ธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว (พวก New S-curve) กับธุรกิจดั้งเดิม ตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น บริษัท IBM ได้แยกธุรกิจออกเป็น 2 ส่วนคือ ธุรกิจที่โตเร็ว (การให้บริการ Hybrid Cloud และ แพลตฟอร์มเอไอ) กับธุรกิจดั้งเดิม (ธุรกิจบริการลูกค้าด้านฮาร์ดแวร์และระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที) เนื่องจากทั้งสองมีธรรมชาติทางธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงไม่เหมาะในการบริหารภายใต้โครงสร้างเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของ บริษัท IBM ในครั้งนั้น ได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากนักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วโลก ตัวอย่างในประเทศไทย เช่น SCB ได้ปรับโครงสร้างและจัดตั้งบริษัทใหม่เป็น SCBX เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น SCBX ไม่ใช่แค่ธนาคาร แต่เป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) มีบทบาทเป็น Tech Company มีความคล่องตัวมากขึ้นในการทำธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากการทำธุรกิจธนาคาร เน้นการขยายธุรกิจเชิงรุกทั้งธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มต่างๆอย่างเต็มรูปแบบ
ประโยชน์ข้อที่ 2: การกำกับดูแลกิจการที่ดี
ในปัจจุบันการกำกับดูแลกิจการ หรือ Corporate Governance เป็นสิ่งที่ผู้คนโดยเฉพาะนักลงทุนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะข้อมูลข่าวสารนั้นสามารถกระจายได้ในวงกว้างและอย่างรวดเร็ว อาศัยการกระจายผ่านสื่อทางสังคม (Social Media) ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น หรือแม้แต่สื่อดั้งเดิมที่ยังมีความสำคัญอยู่ ดังนั้นการแยกตัวออกมาเป็นบริษัทย่อยจะทำให้ประสิทธิภาพของการกำกับดูแลกิจการดีขึ้น เพิ่มความโปร่งใสในด้านการตรวจสอบ และยังลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาที่ทางการเงินเรียกว่า "Agency Problem" หรือ กรณีที่ผู้บริหาร (ที่ไม่ใช้เจ้าของกิจการ) บริหารองค์กรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เช่น การเน้นเพิ่มค่าตอบแทนของผู้บริหาร หรือการเน้นใช้ทรัพยากรของบริษัทเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง
ประโยชน์ข้อที่ 3: การเข้าถึงแหล่งทุนที่มีประสิทธิภาพ
การแยกบริษัทออกมาเป็นบริษัทย่อยยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนที่สนใจในธุรกิจที่แยกออกมา ให้สามารถลงทุนในธุรกิจนั้นได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านบริษัทแม่ เป็นการรับรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจที่ถูกแยกออกมา และยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หุ้นของบริษัทแม่อีกด้วย ตัวอย่างเช่น บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ได้ทำการแยกธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางที่ใช้ในทางการแพทย์ออกมาเป็นบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ปัจจุบันบริษัท STA มีมูลค่าตามราคาตลาดประมาณ 45,000 ล้านบาท และบริษัท STGT มีมูลค่าประมาณ 77,000 ในขณะที่ STA ถือหุ้นใน STGT อยู่ประมาณ 50.64% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 38,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่ามูลค่าหุ้นของ STGT ที่ทาง STA ถืออยู่นั้นมูลค่าเกือบเท่ากับมูลค่าทั้งบริษัทในตอนนี้
โดยรวมแล้ว แน่นอนว่าการอยู่รอดในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือ Disruption Era นั้น องค์กรจำเป็นต้องมีความสามารถในการปรับตัวที่รวดเร็ว กลยุทธ์การแยกตัว หรือ Spin-off เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สามารถเพิ่มความยั่งยืนให้องค์กรโดยรวมโดยการเพิ่มความคล่องตัว เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลกิจการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงแหล่งทุน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอีกต่อไปที่เราอาจจะเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่ เลือกแยกธรุกิจออกมาเป็นบริษัทเล็ก ๆ มากขึ้น ในทางกลับกัน สิ่งนี้ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ยังไม่สามารถออกจากแนวคิดเดิม ๆ ที่ผู้บริหารสูงสุดจะต้องเป็นคน คนเดียวที่ "กุมบังเหียน" และไม่ยอม "เลือกทาง" ที่อาจจะไม่ถูกใจนัก แต่ก็เป็นทางที่ "ถูกต้อง" ในยุคโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง
ที่มา: สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์