นริศรา พัตนพิบูล หัวหน้าสายงานบริการที่ปรึกษาธุรกิจ อีวาย (EY) ประเทศไทย กล่าวว่า
"ซัพพลายเชนไทยปรับตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของแต่ละประเทศ และความตึงเครียดของสถานการณ์การค้าโลก อย่างไรก็ตาม โควิด-19 เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ผู้นำองค์กรกลับมาทบทวนระบบซัพพลายเชนใหม่ โดยมุ่งตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และพัฒนาแผนความยืดหยุ่นให้ชัดเจนเพื่อมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ดังนั้น ซัพพลายเชนจึงจะกลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญทางธุรกิจยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา"
แปดปัจจัยสำคัญที่บริษัทต้องพิจารณาเพื่อพัฒนากลยุทธ์ซัพพลายเชน
รายงานผลการศึกษาของอีวายแนะนำแปดปัจจัยสำคัญ สำหรับบริษัทที่กำลังวางแผนและปรับกลยุทธ์ในระบบซัพพลายเชน ดังต่อไปนี้
- ทำงานร่วมกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิด บริหารคลังสินค้าและระบบซัพพลายเชนแบบครบวงจร: วางแผนสินค้าคงคลัง คลังสินค้า โลจิสติกส์ และบริการจัดส่งสินค้า การส่งคืนสินค้าให้รวดเร็ว เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่มีมากขึ้น
- เพิ่มประสิทธิภาพการค้าในภูมิภาคและกลยุทธ์ภาษีในห่วงโซ่คุณค่า: สร้างสมดุลให้เหมาะสม ระหว่างการจัดการด้านภาษีและการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนในการให้บริการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงการจัดซื้อ การผลิต การนำเข้า การขนส่ง การกระจายสินค้าและการขายสินค้า
- พิจารณาขอบเขตการให้บริการ สินทรัพย์ และการลงทุน: โดยกระจายอำนาจไปในแต่ละพื้นที่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเข้าถึงตลาดที่มีการเติบโตสูงในราคาที่สมเหตุสมผล
- เห็นภาพรวมการดำเนินงานด้านซัพพลายเชนด้วยแพลตฟอร์มอัจฉริยะ และมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ: ติดตั้งระบบซัพพลายเชนที่มีการบูรณาการอย่างครบวงจร โดยลดการหยุดชะงักหรือให้เกิดน้อยที่สุด และเพิ่มการประสานงานและร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิด
- สร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์: โดยสร้างสมดุลระหว่างการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน กับการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
- คำนึงถึงความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของซัพพลายเชนในระยะต่าง ๆ: ลดการพึ่งพากลุ่มผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ระดับโลกที่มีจำนวนจำกัด และเพิ่มการพึ่งพาผู้จัดหาสินค้าท้องถิ่นในราคาที่แข่งขันได้
- ปรับโครงสร้างและเพิ่มทักษะพนักงาน: สร้างทักษะทางเทคนิคและเพิ่มทักษะการคิดวิเคราะห์และความสามารถในการแก้ปัญหาในขั้นตอนต่าง ๆ ให้กับพนักงาน
- ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล: นำหลักการอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการผลิต โดยคำนึงถึงความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
ปรับกลยุทธ์ซัพพลายเชนไทย เพื่อรองรับการเติบโตระยะยาว
รายงานผลการศึกษาของอีวายยังได้แนะนำว่า ในการปรับโครงสร้างธุรกิจ ผู้บริหารองค์กรควรนำแผนสร้างทักษะการใช้งานระบบดิจิทัลมาเป็นแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่องค์กรดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของ EY Business Pulse Survey 2021: Thailand Report ที่ระบุว่า 78.22% ของผู้นำองค์กรธุรกิจไทย เปิดเผยว่า สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงสามถึงหกเดือนข้างหน้า คือการเร่งจัดทำแผนธุรกิจมุ่งสู่องค์กรดิจิทัล
พนักงานคือกุญแจสำคัญของกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ดังนั้น การเตรียมพนักงานให้มีความพร้อมด้านดิจิทัลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ผู้บริหารต้องขับเคลื่อนองค์กรด้วยการทำให้พนักงานเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะบังคับให้ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่การฝึกอบรม คัดสรรพนักงาน และรักษาพนักงาน
นริศรา กล่าวว่า
"ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดี ที่บริษัทจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบซัพพลายเชนเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ระบบซัพพลายเชนอัจฉริยะที่สามารถตรวจสอบได้อย่างครบวงจร การเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดเก็บบนคลาวด์ และการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้สามารตรวจสอบย้อนกลับ ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันอยู่ตลอด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ซัพพลายเชนอัจฉริยะจะช่วยลดความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือหากมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะช่วยให้จัดการได้ง่ายและรวดเร็ว"
"ระหว่างการจัดระบบซัพพลายเชนใหม่ บริษัทจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการสร้างทักษะดิจิทัลให้กับพนักงาน เนื่องจากทักษะใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอด พนักงานที่มีทักษะเหล่านี้มีจำนวนน้อยกว่าความต้องการของตลาด บริษัทจึงจำเป็นต้องลงทุนสร้างทักษะให้กับพนักงานเอง ด้วยการจัดทำแผนฝึกอบรม และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล"
โรคระบาดที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพากันของซัพพลายเชนทั่วโลก รวมถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลและการสร้างพนักงานที่มีทักษะในการดำเนินงานด้านซัพพลายเชน ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจะเอาชนะความท้าทายที่เกิดขึ้นได้
นริศรา สรุปปิดท้ายว่า
"โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจไปอย่างมาก การดำเนินงานด้านซัพพลายเชนของไทยจะต้องเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวเมื่อโรคระบาดใหญ่กลายเป็นโรคประจำถิ่น กุญแจสู่ความสำเร็จของซัพพลายเชนไทยคือการปรับกลยุทธ์ โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เน้นความโปร่งใสและคล่องตัว รวมทั้งต้องลงทุนในทรัพยากรบุคคลเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่แข็งแกร่ง และเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว"
ที่มา: EY Thailand