ตลาดหุ้น ทองคำ และบิทคอยน์ ได้อานิสงส์เต็ม ขานรับ FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.5%

พฤหัส ๐๕ พฤษภาคม ๒๐๒๒ ๑๖:๔๒
ตลาดหุ้น ทองคำ และบิทคอยน์ มีโอกาสฟื้นตัวขานรับผลการประชุม FED ที่ออกมาเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ นักลงทุนรุ่นใหม่วิเคราะห์ธีมการลงทุน แนะจับตาตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเมษายน หากออกมาลดลง หรือ ไม่สูงขึ้นกว่าเดือนมีนาคมจะส่งผลบวกต่อตลาดต่อไป ชูหุ้นกลุ่มแวลูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจจากนโยบายเปิดเมืองทั่วโลก
ตลาดหุ้น ทองคำ และบิทคอยน์ ได้อานิสงส์เต็ม ขานรับ FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.5%

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED ครั้งที่สามของปีนี้ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่มี Positive Surprise หรือ เซอร์ไพร์สเชิงบวกเล็ก ๆ ตรงที่คณะกรรมการ FED มีมติปรับลดวงเงินการถอนสภาพคล่อง หรือ QT โดยมีผลในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ในวงเงินที่ลดลงเหลือเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่คาดว่าจะลดครั้งละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่การตอบคำถามสื่อของ Jerome Powell ประธาน FED เปิดเผยว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียว 0.75% แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.5% อีกสองครั้ง โดยหลังจบการแถลง ดัชนี DXY หรือ Dollar Index มีการอ่อนตัวลง บ่งบอกว่าที่ผ่านมาตลาดคาดหวังว่าจะเกิดนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากกว่านี้ เมื่อไม่เป็นไปตามคาดจึงเกิดแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับไปที่ตลาดหุ้นอีกครั้ง

"ถ้าจะสรุปผลการประชุม FED ในรอบนี้ ถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้เกือบทั้งหมด อาจจะมี Positive Surprise เล็ก ๆ จากวงเงิน QT ที่ออกมาน้อยกว่าที่เคยมีการคาดการณ์และการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งสามตลาดกลับมาบวกได้ค่อนข้างแรง รวมถึงบิทคอยน์และทองคำที่ฟื้นตัว ทำให้มองได้ว่าการปรับฐานลงของตลาดก่อนหน้านี้ ได้ Price In ไปกับผลการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว ถ้าไม่มีปัจจัยลบใหม่เกิดขึ้นก็อาจเป็นไปได้ว่าเราน่าจะได้เห็นการฟื้นตัวของตลาดหลังจากนี้"

นายณพวีร์ กล่าวว่า มองทิศทางการลงทุนหลังจากนี้ ต้องติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเมษายนว่าจะเพิ่ม หรือ ลดลง เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ซึ่งอยู่ที่ 8.4% ถ้าหากตัวเลขออกมาไม่เพิ่มไปกว่านี้มาก ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อจากการที่ FED คลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแรง ซึ่งมีโอกาสสูงที่เงินเฟ้อเดือนมีนาคมอาจจะเป็นระดับสูงสุดแล้ว เพราะในเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ราคาน้ำมันดิบไม่ได้พุ่งแรงมากเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ที่มีปัจจัยกดดันจากสงครามรัสเซียและยูเครนเข้ามาสมทบ

"แม้เงินเฟ้ออาจจะไม่พุ่งแรงจนถึงขั้นแตะระดับเลขสองหลัก แต่ราคาพลังงานถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการคว่ำบาตรรัสเซียจากสหภาพยุโรป ทำให้เงินเฟ้อน่าจะยังประคองตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป แต่ไม่น่าจะกดดัน FED ให้ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่านี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าตลาดจะไม่มีการพักฐานแรงอีก"

สำหรับสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ "ทองคำ" อาจจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากราคาก่อนหน้านี้สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่ 1,858 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ และหลังการประชุม FED มีการปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาทดสอบระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน "บิทคอยน์" ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีการทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ดังนั้นคาดว่าน่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากนี้ โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ทางด้าน ตลาดหุ้น มองว่าดัชนี S&P500 และ Dow Jones มีความน่าสนใจกว่า NASDAQ ตรงที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เริ่มมีประเด็นเรื่องของผลประกอบการรายบริษัทที่ออกมาแย่กว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด อย่าง Netflix และ Amazon ขณะที่หุ้นกลุ่มแวลูน่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเริ่มอ่อนแรงและและหลายประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว

ขณะที่ ตลาดหุ้นจีน ยังมีประเด็นเรื่องของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจนต้องมีการปิดเมืองใหญ่หลายแห่งทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจในประเทศอาจชะลอตัวลง ถ้าหากยังไม่มีการประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลน่าจะยังไม่เห็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น อีกทั้งหุ้นเทคโนโลยีจีนยังคงมีแรงกดดันจากนโยบายภาครัฐ ซึ่งมองในภาพรวมแล้วตลาดหุ้นจีนยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในระยะสั้น แต่ถ้ามีปัจจัยบวกเข้ามาจะเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว

"ส่วนตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจตรงที่นโยบายเปิดประเทศทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ SET Index ช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น โดยสามารถทยอยสะสมหุ้นมาร์เกตแคปใหญ่ในช่วงไตรมาสสองนี้ เพื่อรอตลาดฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง และอีกหนึ่งตลาดหุ้นที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ปรับตัวลงมาประมาณ 10% จากจุดสูงสุด ยังมองเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้น ถ้ากลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ ยังเป็นโอกาสเข้าลงทุน"

ที่มา: เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๔ พ.ค. Siriraj Education Expo 2024 ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับศิริราช พร้อมยกระดับทางการแพทย์ให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคน
๐๓ พ.ค. ครั้งแรก! งานเทศกาลคอนเทนต์ LGBTQ ฉลองความเท่าเทียมทางเพศ THAILAND INTERNATIONAL LGBTQ FILM TV FESTIVAL 2024 ปักหมุดเตรียมพบกัน กันยายนนี้
๐๓ พ.ค. โน วัน เอลส์ ส่ง 3 เพลงรัก 3 สไตล์! ผ่านมิวสิกซี่รีย์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น
๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง