นางสาวฟรานเชสก้า รุสโซ่ ผู้ก่อตั้ง Crypto Meetup Thailand คอมมูนิตี้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ให้ความเห็นว่า แท้จริงแล้วอาจจะต้องทำความเข้าใจในอีกมุมมองว่า "Market Maker" มีหน้าที่ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องมากขึ้น (Liquidity) หากการลงทุนในตลาดรองขณะนั้นเงียบเหงาลงหรือขาดสภาพคล่อง ทั้งฝั่งตลาดทุนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จนถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Exchange ที่บางที Volume การซื้อขายบางวันก็ผันผวน บางวันก็ขยับแบบซึมๆ เกิดจากการที่ปริมาณการซื้อขายไม่ Match กัน
เมื่อเกิดสถานการณ์นี้ "Market Maker" ก็จะเข้าไปทำหน้าที่ทันที โดยการตั้งราคารับซื้อ (Bid) และตั้งราคาขาย (Offer) ให้เป็นไปตามกลไกของตลาด อาจจะสามารถทำได้เองหรือใช้ Bot ตั้งออเดอร์ เพื่อให้ราคาที่เกิดขึ้นในตลาดสะท้อนความต้องการของผู้ลงทุนอย่างแท้จริงในระยะเวลาที่สั้นลงเมื่อเทียบกับการที่ต้องรอคอยให้ราคาสินทรัพย์เป็นไปตามกลไก ซึ่ง "Market Maker" อาจได้สิทธิประโยชน์จากการทำหน้าที่ เช่น การลดค่า คอมมิชชั่น จากตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายฯ รวมทั้งอาจได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของราคาจากการทำธุรกรรมซื้อขาย
นอกจากนี้ "Market Maker" อาจทำ Arbitrage คือ การทำกำไรจากความแตกต่างของราคาสินค้าชนิดเดียวกันที่ซื้อขายอยู่คนละตลาด เช่น ราคาบิทคอยน์ใน Exchange A ถูกกว่าที่ Exchange B "Market Maker" ก็ทำการซื้อบิทคอยน์จากที่ Exchange A แล้วโอนไปที่กระดานเทรด Exchange B และขายเพื่อทำกำไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ Win-Win ราคาตลาดเป็นไปตามกลไก และ ราคาสินทรัพย์ที่สะท้อนความต้องการของนักลงทุน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ "Market Maker" ดำเนินการจะต้องไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดโดยรวม ทั้งการการชี้นำให้นักลงทุนเข้าใจผิดเพื่อผลักดันราคา และ สร้างปริมาณการซื้อขาย รวมถึงการเข้าไปซื้อขายและจับคู่กันเอง หรือที่เรียกว่า "Wash Trading"
ซึ่งการ "Wash Trading" มองแบบผิวเผินก็จะมีลักษณะคล้ายกับ "Market Maker" แต่จะมีความต่างที่จุดประสงค์การทำ ซึ่ง "Wash Trading" เป็นการปั่นราคาสินทรัพย์ให้มูลค่าสูงกว่าความเป็นจริง โดยทำการซื้อขายเองโดยคนเดียวกัน หรืออาจทำเป็นขบวนการในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อสร้างปริมาณการซื้อขายจนนำไปสู่การตั้งราคาที่สูงขึ้น และเมื่อนักลงทุนเห็นโอกาส (ปลอมๆ) จากการลงทุนสินทรัพย์นั้น ก็กระโจนไปเข้าไปในกลเกมนี้อย่างสุดตัว จนนำมาสู่การขาดทุนจากการติดดอยในสินทรัพย์ที่ถูกปั่นจนเกินมูลค่า
แม้การ "Wash Trading" ถือว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 แต่กลับมีหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่นักลงทุนหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อ ตั้งแต่อดีตในชื่อ "ปั่นหุ้น" จนถึงปัจจุบันที่เปลี่ยนชื่อ "Wash Trading" กับสินทรัพย์ดิจิทัลแล้วก็ตาม นั่นหมายความว่ากลเกมในลักษณะนี้ก็ยังคงติดตามนักลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
ด้วยพฤติกรรมที่มีความใกล้เคียงกัน แต่ให้ผลลัพธ์แตกต่างด้วยเจตนา อีกทั้งการตัดสินว่าผิดหรือถูกในทางกฎหมาย อาจไม่ได้เป็นเรื่องที่จับต้องได้นัก การศึกษาทิศทางตลาด หมั่นติดตามข่าวสาร และ การหาข้อมูลของนักลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเสริมเกราะความรู้ให้กับตัวเองและสามารถทำกำไรในสนามการลงทุนนี้ได้อย่างปลอดภัย
ที่มา: บียอนด์ โซลูชันส์