- ล้างบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บด้วยน้ำ และสบู่ รวมทั้งหมั่นรักษาความสะอาดบริเวณนั้น ๆ อยู่เสมอ
- หากมีขน หรือ เหล็กในของแมลงติดอยู่ที่ผิวหนัง ให้นำออกโดยใช้แหนบ หรือ ปากกาเขี่ยออก และห้ามบีบผิวเพื่อให้เหล็กในหลุดออกมาโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้พิษกระจายออกมาได้
- ประคบเย็นบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยด้วยถุงน้ำแข็ง ผ้าชุบน้ำเย็น หรือผ้าห่อน้ำแข็งเป็นเวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นให้พัก 10 นาทีแล้วประคบใหม่ โดยอาจทำสลับไปมาเพื่อบรรเทาอาการปวดบวมหรือคัน
- ห้ามแกะเกาแผลหรือทำให้แผลเปิด เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม และอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ห้ามรัดบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ และควรถอดเครื่องประดับที่รัดแน่นบริเวณนั้นออก
- ใช้ยาหม่องชนิดขี้ผึ้ง เพื่อลดอาการฟกช้ำ แก้ปวดบวม
ยาหม่องชนิดขี้ผึ้งเป็นสิ่งที่เหมาะสมต่อการใช้เมื่อคุณมีอาการแพ้ยุง เป็นตุ่ม ผิวหนังบวมแดงหรือโดนยุงกัดจนคัน ควรเลือกใช้ยาหม่องชนิดขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของน้ำมันยูคาลิปตัสและการบูร และหากเป็นการใช้สำหรับเด็ก ควรเลือกยาหม่องชนิดขี้ผึ้งที่มีฤทธิ์ไม่แสบร้อนผิว และหลีกเลี่ยงการทาบนบริเวณผิวบอบบาง เช่น ผิวหน้า ผิวรอบดวงตา เพราะอาจทำให้เกิดความระคายเคืองได้ แต่ถ้าโดนยุงกัดแล้วเป็นผื่นบริเวณกว้าง คันมาก มีอาการผิวหนังอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อจ่ายยาแก้แพ้ที่เหมาะสมกับอาการให้
นอกจากการใช้ยาหม่องชนิดขี้ผึ้งในการดูแลแล้ว ยังมีวิธีป้องกันแมลงกัดต่อยที่ดูแลได้ตั้งแต่ขั้นแรก ดังต่อไปนี้
- ปกปิดร่างกายได้มิดชิดสวมด้วยหมวก และเสื้อผ้าสีสว่าง และไม่ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างน้ำหอม สบู่ แชมพู โลชั่น หรือสารระงับกลิ่นกายที่มีกลิ่นหอมฉุน เพราะอาจทำให้แมลงบินเข้ามาใกล้
- ใช้เทียนตะไคร้หอม หรือ ยาไล่แมลง
- ระมัดระวังเมื่อต้องอยู่ใกล้ดอกไม้ ปุ๋ยหมัก หรือถังขยะ
- หากเคยแพ้แมลงอย่างรุนแรง ควรพกอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดตัวไว้เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
- หากพบรังผึ้งหรือที่อยู่ของแมลง ให้ระมัดระวัง และห้ามเข้าไปรบกวน
- ปิดหน้าต่างและประตูบ้านให้สนิท โดยอาจติดมุ้งลวดเพื่อไม่ให้แมลงเข้าไปภายในบ้าน
ที่มา: Zambuk