ทำเลยุทธศาสตร์ พลิกโอกาสประเทศไทย รับการปรับห่วงโซ่อุปทานโลก

พุธ ๒๑ มิถุนายน ๒๐๒๓ ๐๙:๕๖
เคพีเอ็มจี ชี้ ไทยได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ สู่ผู้เล่นหลักในการกระจายและปรับระบบห่วงโซ่อุปทานธุรกิจระดับโลก                                                                                                           
ทำเลยุทธศาสตร์ พลิกโอกาสประเทศไทย รับการปรับห่วงโซ่อุปทานโลก

เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านการสอบบัญชีและการให้ความเชื่อมั่นอื่น ภาษี กฎหมาย และให้คำปรึกษาทางธุรกิจระดับมืออาชีพชั้นนำ เน้นย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับระบบห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางความกังวลด้านเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ของประเทศ อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยทำให้ไทยเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับบริษัทที่ต้องการกระจายความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว

ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 495.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเติบโตร้อยละ 2.6 ต่อปีในปี 2565 ปัจจัยต่างๆ อันประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่ได้รับการพัฒนา การค้าข้ามพรมแดนที่สำคัญ และนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลได้กระตุ้นให้บริษัทข้ามชาติจำนวนมากย้ายห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ และยานยนต์ มายังประเทศไทย

"ภูมิยุทธศาสตร์ของประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ธุรกิจทั่วโลกกำลังเผชิญกับความซับซ้อนท้าทายของระบบห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบัน ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายที่น่าสนใจ จากโครงสร้างพื้นฐานของไทยซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดีซึ่งช่วยให้บริษัทต่างๆ ที่ต้องการเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานให้เข้าถึงตลาดที่มีการเติบโตสูง และฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา"

สุกิจ วงศ์ถาวราวัฒน์ หุ้นส่วน และ ประธานฝ่ายที่ปรึกษาธุรกิจ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าว

นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งของประเทศไทยยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของห่วงโซ่อุปทาน โครงการรถไฟความเร็วสูงเฟสแรกซึ่งเชื่อมต่อกรุงเทพฯ กับจุดยุทธศาสตร์สำคัญภายในประเทศไทยและชายแดนมาเลเซียซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 จะช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกทางการค้าทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค นอกจากนี้ การดำเนินการตามโมเดลประเทศไทย 4.0 ซึ่งส่งเสริมการนำเครือข่าย 5G มาใช้และความก้าวหน้าของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จะสร้างโอกาสสำหรับการเพิ่มระบบอัตโนมัติและการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลภายในห่วงโซ่อุปทาน

"การที่ประเทศไทยมีแรงงานคุณภาพดีในราคาที่แข่งขันได้ ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่างๆ ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำรายวันที่สอดคล้องกับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงแรงงานที่คุ้มค่ากับชุดทักษะที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีต่อๆ ไป เนื่องจากค่าครองชีพและอุปสงค์ในประเทศสูงขึ้น"

เอียน ธอร์นฮิลล์ กรรมการบริหาร และ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการซื้อขายกิจการ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะที่เป็นมิตรต่อนักลงทุนของประเทศไทยและการสนับสนุนจากภาครัฐยิ่งช่วยเสริมความน่าดึงดูดสำหรับการย้ายฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) มีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำในอาเซียน เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ ลงทุนเป็นจำนวนมาก ประเทศไทยได้ลงนามในความตกลงการค้าเสรี (FTA) จำนวน 13 ฉบับ และให้สัตยาบันในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ

"ภาคส่วนสำคัญของไทยในห่วงโซ่อุปทาน ได้แก่ ยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ มีโอกาสเติบโตที่สำคัญ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เห็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเป้าหมายของประเทศที่จะเป็นศูนย์กลางEV ในอาเซียนภายในปี 2568 ส่วนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกำลังพัฒนาผ่านการทำฟาร์มอัจฉริยะและการจัดตั้งระบบนิเวศอุตสาหกรรม นอกจากนี้ หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ ได้วางแผนสนับสนุนภาคส่วนอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะผ่านแผนปฏิบัติการในช่วงปี 2566-2570 โดยมีมาตรการต่างๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ กระตุ้นความต้องการ และสร้างระบบนิเวศสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่ที่มีศักยภาพจากประเทศจีน" มัลลิกา ภูมิวาร หุ้นส่วนที่ปรึกษาภาษีศุลกากรและการค้าระหว่างประเทศ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าว

เมื่อมองไปข้างหน้า โมเดลเศรษฐกิจ "ประเทศไทย 4.0" จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานคุณค่า ด้วยการเปิดรับนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานการผลิตอัจฉริยะ การเพิ่มระบบอัตโนมัติ การแปลงเป็นดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับแรงงานที่มีความรู้และแรงงานที่มีทักษะสูง การพัฒนาอุตสาหกรรม New S-Curve ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และบริการดิจิทัล ล้วนแล้วแต่นำเสนอโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับธุรกิจในประเทศไทย

"เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยของเราได้รับความสนใจจากธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งโอกาสที่ประเทศไทยจะปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก เพราะความได้เปรียบของตำแหน่งยุทธศาสตร์ ด้วยทำเลที่เอื้ออำนวย โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ ประเทศไทยจึงมีความพร้อมเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยนแปลงนี้ และทีมงานของ KPMG มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยลูกค้าของเราในการคว้าโอกาสเหล่านี้ รวมทั้งเพิ่มมูลค่าให้ได้มากที่สุด"

เจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว กล่าว

ท่านสามารถอ่านรายงานฉบับเต็มของ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์ https://kpmg.com/th/en/home/insights/2023/05/rethinking-supply-chains.html

ที่มา: KPMG Thailand

ทำเลยุทธศาสตร์ พลิกโอกาสประเทศไทย รับการปรับห่วงโซ่อุปทานโลก

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๗ เม.ย. อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม VICHY LIFTACTIV BRAND PARTNER ตัวแทนประเทศไทย ร่วมงาน 'V.I.C VICHY INTEGRATIVE CENTER' อีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ของแบรนด์ VICHY (วิชี่) อวดลุคเซ็กซี่สุดฮอต สวย ปัง
๒๖ เม.ย. ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๒๖ เม.ย. NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๒๖ เม.ย. แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๒๖ เม.ย. แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๒๖ เม.ย. RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๒๖ เม.ย. ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๒๖ เม.ย. เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๒๖ เม.ย. ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๒๖ เม.ย. ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud