ทั้งล่าสุดยังได้รับรางวัล "ปราชญ์ชาวบ้านต้นแบบสัมมาชีพ" ประจำปี 2566 จากมูลนิธิสัมมาชีพ ในฐานะที่ริเริ่มนำองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างประโยชน์ให้ชุมชน ท้องถิ่น
หลังริเริ่มปลูกยางพาราในพื้นที่ภาคอีสานในปี 2532 จากการอบรมในโครงการอีสานเขียวแล้ว เขายังไม่หยุดนิ่ง แสวงหา "นวัตกรรม" สร้างองค์ความรู้ มูลค่าเพิ่ม เพื่อพัฒนาคุณภาพยางพาราร่วมกับสถาบันการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านยางพาราอย่างต่อเนื่อง ในนามประธานวิสาหกิจชุมชนฐานเกษตรกรยางพารา ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 220 คน
การผลิตยางแผ่นรมควันของวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ ปัจจุบันได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP เป็นโรงที่ 9 ของประเทศไทย และผ่านเกณฑ์มาตรฐานบริษัทบริดจสโตน ผู้ผลิตล้อเครื่องบิน สะท้อนถึงมาตรฐานการผลิตยางพารา "เราเป็นสถาบันแรกสถาบันเดียวในไทยที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน" ธนากร เล่าอย่างภาคภูมิใจ
อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญ ที่เขาทำงานวิจัยร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คือ "โรงอบยางพาราพลังงานแสงอาทิตย์แบบพาราโบลาโดม" โดยผลลัพธ์ของโรงอบฯ พลังแสงอาทิตย์ ช่วยแก้ปัญหากลิ่นยาง ได้เนื้อยางคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ จนชาวบ้านเรียกว่าเป็นโรงอบยางฯไร้กลิ่น
โรงอบฯ พลังแสงอาทิตย์ช่วยลดระยะเวลาอบเหลือ 7 วัน ลดการใช้ไม้ฟืน จึงสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงปีละราว 7-8 แสนบาท นอกจากนี้ยังช่วยลดมลพิษ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดฝุ่น เรียกว่า เป็นการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
"ที่ผ่านมา ไม่เคยรู้เลยว่า ยางพาราตากแดดไม่ได้ เพราะแสงยูวีจะทำลายเซลล์ยาง ทำให้ยางไม่มีคุณภาพ เนื้อยางส่วนที่พาดไม้ตากแดดยังมีน้ำยางเยิ้ม ไม่แห้ง จึงเสื่อมคุณภาพ เมื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยศิลปากรแนะนำให้สร้างพาราโบลาโดมคลุมด้วยแผ่นโพลีคาร์บอเนต ทำให้เราประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาคุณภาพยางแผ่นรมควัน จากการอบด้วยแสงอาทิตย์พาราโบลาโดม"
.. มาตรฐานการผลิตยางพาราดังกล่าว ทำให้สามารถจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดอีกด้วย
"เราต้องขายคุณภาพ ถ้าสร้างคุณภาพได้ สินค้าก็อยู่ได้ เราก็อยู่รอด" ธนากร เชื่อเช่นนั้น
จากความสามารถในการดำเนินการดังกล่าว ทำให้กลุ่มฐานเกษตรยางพาราที่ธนากรเป็นผู้นำ ได้สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับคนในพื้นที่หมู่บ้านหนองตาเฮียง อำเภอโนนสุวรรณ จากเดิมที่เคยเป็นหมู่บ้าน "ยากจนที่สุด" ในจังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านที่มีรายได้สูงต่อหัวต่อคนสูงสุดในจังหวัด (สมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ มีรายได้เดือนละ 22,000 บาทต่อคน จากยอดขายรวมเดือนละ 5 ล้านบาท)
ทั้งยังเป็นการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับแนวทางสัมมาชีพ (มีอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้) ทำให้เขาได้รับรางวัลการันตีมากมาย
ล่าสุดกับรางวัล "ปราชญ์ชาวบ้านต้นแบบสัมมาชีพ"
"ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้รับรางวัลนี้ หลังลองผิดลองถูกการปลูกยางพารามากว่า 10 ปี เจอปัญหาและแก้ปัญหายางพารามามาก การได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์ชาวบ้านฯ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ โดยผมต้องการนำองค์ความรู้เหล่านี้ ไปถ่ายทอดให้กับพี่น้องเกษตรกรและสถาบันต่างๆ ให้นำไปพัฒนาคุณภาพยางพาราให้ได้มาตรฐาน ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น" เขาเผยความในใจ
ปัจจุบัน กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฐานเกษตรยางพารา คือ ผู้รวบรวมน้ำยางสดและแปรรูปยางแผ่นรมควัน และยางก้อนถ้วยแปรรูปเป็นยางเครปบางสีน้ำตาล ล่าสุดยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแปรรูปน้ำยางสดเป็นยางเครปขาว หากทำได้ตามมาตรฐานความขาวได้ 2% ตรงกับที่ญี่ปุ่นต้องการจะรับซื้อเดือนละ 60 ตัน แต่ขณะนี้ทำความขาวได้เพียง 3% จึงนำมาทำไปเป็นสติ๊กเกอร์ปิดผัก ผลไม้ ได้เท่านั้น
ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่วิสาหกิจฯจึงต้องหมั่นหาความรู้ สร้างประสบการณ์ เพื่อพัฒนาการแปรรูปยางพาราให้ได้คุณภาพ ที่สำคัญต้อง "รวมกลุ่มกัน" ให้เข้มแข็ง เพื่อเปิดตลาดสินค้ายางพาราในภาคอีสานให้กว้างขึ้น
"เราต้องรวมตัวกันสร้างคุณภาพ สร้างปริมาณการผลิตได้ตามคำสั่งซื้อ ตามที่ตลาดต้องการ ตลาดต้องการแบบไหนเราต้องทำได้หมด แต่ถ้าเราต่างคนต่างทำ วันไหนเราถึงจะเดินไปถึงเส้นชัยได้
ขณะเดียวกันรัฐ เอกชน เกษตรกร ต้องจับมือกัน ถ้าทำได้ ผมเชื่อว่าเกษตรกรไทยมีอยู่ มีกิน ถาวรได้แน่นอน" ปราชญ์ชาวบ้านต้นแบบสัมมาชีพ กล่าว
ที่มา: มูลนิธิสัมมาชีพ