สามขั้นตอนสู่ความเป็น Adaptive Leadership ในยุคเทคโนโลยี

พุธ ๐๓ มกราคม ๒๕๖๗ ๑๒:๕๘
บทความโดย มาร์เจ็ต แอนดรีซ, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป, เร้ดแฮท เอเชียแปซิฟิก
สามขั้นตอนสู่ความเป็น Adaptive Leadership ในยุคเทคโนโลยี

.องค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันถูกดึงเข้าไปพัวพันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างเหนียวแน่น และจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อคงความสามารถทางการแข่งขันให้ได้ เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการกำหนดรูปแบบการดำเนินงานและความสามารถทางการแข่งขันของทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี IoT ในภาคการผลิต ไปจนถึงร้านค้าปลีกเล็ก ๆ หรือธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มที่พึ่งพาโซลูชันการชำระเงินแบบไร้สัมผัส องค์กรต่างลงทุนด้านเทคโนโลยีและ generative AI มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ต้องการที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่องค์กรส่วนใหญ่เร่งรีบเกินไปจนไม่ได้พิจารณาว่าองค์กรจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงเพียงใด

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดดเด่นและนำมาซึ่งโอกาสต่าง ๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความเสี่ยงในวงกว้างเช่นกัน ข้อมูลจากรายงาน Anatomy of Adaptive Leaders ที่จัดทำโดย Economist Impact ที่เป็นการสำรวจความเห็นของผู้นำองค์กรพบว่า การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (77%), การหยุดชะงักด้านซัพพลายเชน (76%), การโจมตีทางไซเบอร์ (69%) และการเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบที่กระจัดกระจาย (69%) เป็นส่วนหนึ่งของความท้าทายที่ทุกภาคส่วนในภูมิภาคนี้เผชิญ การขาดแคลนผู้มีความสามารถเป็นปัญหาที่หนักโดยเฉพาะในประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น (87%) ออสเตรเลีย (84%) และเกาหลีใต้ (81%) รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ธุรกิจขายส่ง แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจบริการต่าง ๆ ทำให้ผู้นำทางธุรกิจในภูมิภาคนี้ต่างคาดหวังที่จะสำรวจสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจในหลายแง่มุม ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น

ความสามารถในการปรับตัวและการเจริญเติบโตของธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญต่อผู้นำองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหรือผู้บริหารบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจอย่างประสบความสำเร็จและแข่งขันในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาได้

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ที่มากกว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่ได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหรือระบบอัตโนมัตเท่านั้น แต่เกี่ยวกับการนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้เปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ วัฒนธรรม และประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งหากต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ ผู้นำธุรกิจต้องเห็นด้วยและสนับสนุนการพัฒนาองค์กรที่พร้อมใช้ดิจิทัล

ผู้นำต้องมีใจเปิดกว้างและเต็มใจทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่หรือใหม่กว่า เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง, Web3, ควอนตัมคอมพิวติ้ง และ generative AI แม้ว่าจะไม่สามารถเรียนรู้และเชี่ยวชาญในนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีได้ทุกอย่าง แต่ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการประโยชน์จากเทคโนโลยีเกิดใหม่ต่าง ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพให้แหล่งทรัพยากรของบริษัทและลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ส่วนผู้นำที่ไม่เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีมากนักก็สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมในองค์กรอย่างต่อเนื่องได้ด้วยคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งคือ ความสามารถในการปรับตัว

สามขั้นตอนสู่การเป็นผู้นำที่สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง (adaptive leader)

1 ส่งเสริมวัฒนธรรมที่พร้อมใช้ดิจิทัลลักษณะของการเป็นผู้นำที่สามารถปรับตัวและนำพาองค์กรสู่การเปลี่ยนแปลงได้ (adaptive leader) ในยุคที่เทคโนโลยีมาเป็นอันดับแรก ต้องเริ่มจากการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมใช้ดิจิทัล ซึ่งเป็นมากกว่าการแนะนำการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้กับการทำงานในแต่ละวันเท่านั้น แต่เป็นเรื่องความรู้เชิงประสบการณ์ที่ผู้นำทางเทคโนโลยีและเครื่องมือทางดิจิทัลต่าง ๆ จะต้องปลูกฝังทั้งความมั่นใจและความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้กับพนักงานทุกคน การแนะนำกระบวนการและแนวปฏิบัติใหม่ ๆ เช่น การบูรณาการทางดิจิทัลนั้น ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการทำนำเป็นตัวอย่าง เช่น กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และระบุได้ว่าองค์กรจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างไรบ้าง การส่งเสริมวัฒนธรรมการปรับตัวและการยินดีรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้ผู้นำสามารถเสริมพลังให้ทีมของตนได้ก้าวหน้าอยู่เสมอ และเพิ่มความคล่องตัวให้กับองค์กรในภาพรวม

.#2 ประเมินสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัยตามวัตถุประสงค์ทางธุรกิจขั้นตอนต่อไปคือการประเมินโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กร และระบุว่ามีสิ่งใดที่ต้องปรับปรุงให้ทันสมัย เรื่องนี้เกี่ยวกับการปรับกลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐานไอทีและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน adaptive leaders ต้องทำงานใกล้ชิดกับแผนกไอทีเพื่อใช้ความเชี่ยวชาญของพวกเขาให้เป็นประโยชน์ในการเลือกใช้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้จัดการกับความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำองค์กรสามารถเสริมสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีขององค์กรได้ และทำให้องค์กรประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

.#3 ทำงานร่วมกันและใช้สไตล์การทำงานแบบเปิดAdaptive leadership จะใช้สไตล์การทำงานแบบเปิดซึ่งมีลักษณะคล่องตัวและมีการทำงานร่วมกัน การใช้กรอบความคิดที่คล่องตัวว่องไว ช่วยให้ผู้นำสามารถกระตุ้นทีมงานให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็ว

.การทำงานร่วมกันของทีมเป็นสิ่งสำคัญ เช่น แผนกไอทีที่มักถูกมองว่าทำงานแยกส่วนจากแผนกอื่น แต่พนักงานที่มีความสามารถของแผนกนี้เป็นผู้นำทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาให้ทุกคนได้ใช้ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานในปัจจุบันและบรรเทาปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น การลดการใช้เวลาในงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ด้วยการใช้เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ และการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นภาคการเงิน การส่งเสริมทำงานร่วมกันทั่วทั้งองค์กรเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานที่ครอบคลุม นอกจากนี้การอนุญาตให้แชร์ไอเดียได้อย่างอิสระจะช่วยให้ผู้นำสามารถนำองค์กรสู่นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นได้

.คำตอบต่อการค้นหาเส้นทางความซับซ้อนทางธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก

.เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประเทศจำนวนมากในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เช่น Economist Impact รายงานว่า ออสเตรเลียกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความซบเซาทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากความท้าทายด้านแรงงานสูงวัย การพึ่งพาการส่งออกของไต้หวันกำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระยะสั้นท่ามกลางอุปสงค์ของโลกที่ชะลอตัว ทั้งนี้องค์กรต่างเผชิญกับความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด แม้ว่าส่วนใหญ่ต้องการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายก็ตาม การที่องค์กรต่าง ๆ อาจพยายามลดความเสี่ยงจากแรงต้านเหล่านี้ด้วยการตัดการลงทุนทางเทคโนโลยีหรือโครงการต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม ความซับซ้อนและอุปสรรคเหล่านี้ทำให้บทบาทของผู้นำทางธุรกิจอยู่ในความสนใจมากว่าจะสามารถนำธุรกิจ สร้างคุณค่าและนวัตกรรมให้กับองค์กรตนได้อย่างไรด้วยทรัพยากรที่ลดลง บริษัทต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิกพบว่ามีความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น มีผลผลิตและประสิทธิภาพในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้งและ generative AI เพิ่มขึ้น

.การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเช่นโอเพ่นซอร์สเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้องค์กรเตรียมพร้อมรับอนาคต และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กร บริษัทในประเทศสิงคโปร์มีความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยีไปขับเคลื่อนแนวทางการทำงานแบบใหม่อย่างมาก โดย 72% ของบริษัทเหล่านี้ใช้หลักการและเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สล้ำหน้าอย่างมาก และเป็นอัตราการใช้ที่สูงที่สุดในภูมิภาค โอเพ่นซอร์สวางพื้นฐานให้กับเทคโนโลยีเกิดใหม่จำนวนมาก เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพให้กับองค์กรต่าง ๆ และ adaptive leader ตระหนักถึงความมีประสิทธิภาพของโซลูชันและความคิดก้าวหน้าของโอเพ่นซอร์ส

ที่มา: เอฟเอคิว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง
๐๓ พ.ค. มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า โครงการบ้านชื่นสุขสร้างสุขผู้สูงอายุ ตอกย้ำ ความกตัญญู
๐๓ พ.ค. รีเล็กซ์ โซลูชันส์ เผยกลุ่มค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคยังไม่ใช้ศักยภาพของ AI มากนัก
๐๓ พ.ค. กทม. บูรณาการหน่วยงานเร่งแก้ปัญหาเด็กเช็ดกระจก-ขายของริมถนน ใช้สหวิชาชีพแก้ปัญหารายครอบครัว