นายโยฮัน ลุนด์เกรน (Johan Lundgren) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ easyJet กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถยืนยันคำสั่งซื้อที่สำคัญนี้ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยให้ easyJet สามารถเปลี่ยนทดแทนเครื่องบินรุ่นเก่าให้เป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อันเป็นองค์ประกอบหลักของแผนงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของเรา แต่ข้อตกลงนี้ยังช่วยให้เราสามารถเติบโตอย่างมีแบบแผน และสร้างโอกาสการพัฒนาที่สำคัญจากการปรับเพิ่มจำนวนที่นั่งผู้โดยสาร" นายโยฮัน กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ด้วยคำสั่งซื้อนี้ easyJet จะสามารถตอกย้ำตำแหน่งผู้นำทางการบิน ในสนามบินหลักที่สำคัญของยุโรปต่อไปได้ และเราหวังว่าจะได้ร่วมงานเป็นพันธมิตรกับแอร์บัสต่อไปในอนาคต"
นายคริสเตียน เชอร์เรอร์ (Christian Scherer) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และหัวหน้าของแอร์บัส อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "แอร์บัสรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับ easyJet ในการขยายและปรับปรุงฝูงบินให้เติบโต โดยฝูงบินแอร์บัสของ easyJet นี้ทำให้สายการบินสามารถสร้างข้อเสนอที่แตกต่างในตลาดซึ่งมีการแข่งขันสูง ด้วยเครื่องบินที่มีความล้ำหน้า ทันสมัย และสะดวกสบายมากที่สุด" และเสริมอีกว่า "ทั้ง easyJet และ แอร์บัส ต่างเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งขันในภาคการบิน ต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การลงทุนที่สำคัญในเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง และความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) มากที่สุดนี้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของเราในด้านดังกล่าว เราขอยินดีกับ easyJet และขอบคุณเป็นอย่างสูง!"
เครื่องบินตระกูล A320neo เป็นเครื่องบินทางเดินเดี่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยได้รับคำสั่งซื้อแล้วมากกว่า 18,000 รายการ จากลูกค้าเกือบ 140 รายในทุกตลาดทั่วโลก เครื่องบินรุ่น A321neo เป็นสมาชิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูล A320neo ของแอร์บัส ซึ่งมีพิสัยบินและประสิทธิภาพที่เหนือชั้นไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีของเครื่องยนต์รุ่นใหม่และชาร์คเล็ท (Sharklet) ส่งผลให้เครื่องบิน A321neo ลดเสียงรบกวนได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเครื่องบินทางเดินเดี่ยวรุ่นก่อนหน้า ขณะเดียวกันก็เพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้โดยสารด้วยห้องโดยสารที่กว้างที่สุดในบรรดาเครื่องบินทางเดินเดี่ยวที่บินให้บริการในปัจจุบัน และเช่นเดียวกับเครื่องบินแอร์บัสทุกลำ เครื่องบินตระกูล A320 ทั้งหมดสามารถใช้งานเชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืน (SAF) ได้เป็นสัดส่วนสูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ โดยแอร์บัสตั้งเป้าที่จะทำให้เครื่องบินทั้งหมดของบริษัท สามารถปฏิบัติการด้วยเชื้อเพลิง SAF ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573
ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเครื่องบิน A321neo มากกว่า 5,600 ลำ จากลูกค้ามากกว่า 100 รายทั่วโลก
ที่มา: โทเทิล ควอลิตี้ พีอาร์ (ประเทศไทย)