นายสินธู ศตวิริยะ หัวหน้ากลุ่มงานธุรกิจ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) กล่าวว่า ช่วงที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกๆ ด้าน ธุรกิจประเภท Corporate Ventures ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนที่จัดตั้งขึ้นโดยองค์กรขนาดใหญ่ ทำหน้าที่บริหารเงินลงทุนองค์กรหรือบริษัทสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยสนับสนุนโครงการสตาร์ทอัพที่แจ้งเกิดใหม่ต่างๆ กำลังได้รับความสนใจและมีบทบาทเพิ่มสูงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันหลายองค์กรใหญ่ต่างก็กำลังนิยมทำโมเดล Venture Builder หรือธุรกิจร่วมสร้าง โดยสร้างบริษัทสตาร์ทอัพเพื่อใช้ค้นหานวัตกรรมใหม่ที่จะนำไปสู่การสร้าง New S-Curve พร้อมให้คำปรึกษาสนับสนุนผู้ประกอบการตั้งแต่หาไอเดีย พัฒนาโมเดลธุรกิจ ตลอดจนหาแหล่งเงินลงทุนให้ธุรกิจ ซึ่งโมเดลดังกล่าวหลายองค์กรใหญ่ในต่างประเทศเริ่มทำอย่างแพร่หลายและประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกันกับเออาร์วี (ARV) ที่ดำเนินการธุรกิจมาแล้วกว่า 5 ปี แม้แรกเริ่มไม่ได้ใช้โมเดลนี้ แต่ปัจจุบันโมเดล High Impact Venture Builder ก็ได้นำมาใช้บริหารธุรกิจแล้วเช่นกัน
โดยในการบริหารธุรกิจด้วยโมเดล High Impact Venture Builder นั้น ARV มีแนวทางการปฏิบัติงาน 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1. ทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ 2. สร้างพื้นที่ทำงานและระบบนิเวศร่วมกับพันธมิตรอันแข็งแกร่ง และ 3. จัดการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ ซึ่ง ARV ไม่เพียงมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเชิงลึกเท่านั้น แต่ยังมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการการเงินที่จะเป็นช่องทางเงินลงทุนสำหรับสตาร์ทอัพด้วยจึงนับเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบในการบริหารธุรกิจ รวมถึงปิดช่องโหว่ลดความเสี่ยงซึ่งเป็นประเด็นความท้าทายสำคัญของบรรดาธุรกิจการร่วมลงทุนต่าง ๆ ได้ด้วย
นายสินธู กล่าวเพิ่มเติมว่า โมเดล High Impact Venture Builder นอกจากจะมีบทบาทในเชิงการสร้างสตาร์ทอัพซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ทางเศรษฐกิจแล้ว ยังถือเป็นเครื่องยนต์ที่จะเร่งให้เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม และ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายเติบโตได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ New S-Curve ซึ่งได้แก่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพัฒนาคนและการศึกษา ผ่านการใช้ความคล่องตัวและรวดเร็วของสตาร์ทอัพมาสร้างความได้เปรียบ โดยเฉพาะการสร้างผลิตภัณฑ์/บริการออกสู่ตลาดที่ตรงกับความต้องการ - แก้ Pain Point ได้ทันที โดยโมเดล High Impact Venture Builder ยังใช้เวลาประสบความสำเร็จสั้นลงกว่าการทำอุตสาหกรรมรูปแบบเดิม และยังถือเป็นศูนย์กลางในการสร้างโอกาสให้กับผู้ที่มีไอเดียให้ได้รับการระดมทุนจำนวนมาก สามารถนำไปใช้พัฒนาธุรกิจแห่งอนาคตได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานภายใต้โมเดล High Impact Venture Builder ของ ARV นั้น ปัจจุบันได้สร้างบริษัทสตาร์ทอัพแล้วทั้งสิ้น 6 บริษัท มีโซลูชันด้าน AI & Robotics ที่ครอบคลุมทั้งด้านอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ พลังงาน อุตสาหกรรมดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การคมนาคม กลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG Model) รวมทั้งการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยมีส่วนในการร่วมระดมทุนและสร้างมูลค่าให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง"
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันองค์กรธุรกิจทั่วโลกกำลังมุ่งสู่แนวคิดการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งรวมถึงธุรกิจนวัตกรรมด้วย ARV ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาและร่วมสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น VARUNA (วรุณา) เป็นธุรกิจกลุ่มย่อยภายใต้การดูแลของ ARV ได้พัฒนาเทคโนโลยีด้าน AI และหุ่นยนต์ไปช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรและบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าไม้ ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นโอกาสการเติบโตทางเทคโนโลยีใหม่ๆ หลายแขนง รวมถึงโมเดลธุรกิจ High Impact Venture Builder ที่จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเพื่อรองรับและสนับสนุนการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพที่มีแนวคิดในการนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น นายสินธู กล่าวปิดท้าย
สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://arv.co.th/ เพจเฟซบุ๊ก AI and Robotics Ventures (https://www.facebook.com/arv.th) หรือโทร. 02 078 4000
ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์