ส.อ.ท. เสนอคุมส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก ช่วย ผปก.

ศุกร์ ๐๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ๑๐:๓๔
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 37 ในเดือนมกราคม 2567 ภายใต้หัวข้อ "ดอกเบี้ยสูง หนี้พุ่ง อุตสาหกรรมไปต่ออย่างไร" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ค่อนข้างมีความกังวลกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะดำเนินนโยบายในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% เป็นระยะเวลานาน ซึ่งต้องเข้าใจว่าที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พยายามอย่างมากที่จะสร้างสมดุลในการบริหารนโยบายการเงินของประเทศ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจและการเสริมสร้างเสถียรภาพของค่าเงินบาท แต่อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบค่อนข้างมากกับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุดของผู้ประกอบการในประเทศ และกำลังอยู่ในช่วงที่ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 และการต้องเร่งปรับธุรกิจเพื่อรับมือกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกตัวในช่วงปีที่ผ่านมา
ส.อ.ท. เสนอคุมส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก ช่วย ผปก.

ในประเด็นเรื่องส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือ Spread ของธนาคารพาณิชย์ ที่มีความห่างมากเกินไปเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศในอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกรับต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการชะลอการขยายธุรกิจหรือการลงทุนใหม่ เพิ่มความเสี่ยงขาดสภาพคล่องทางการเงินและการผิดนัดชำระหนี้ รวมทั้งกระทบต่อกำลังซื้อสินค้าของประชาชน ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ จึงเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาออกมาตรการกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยทั้งในส่วนของเงินฝากและสินเชื่อ รวมทั้งมีการประกาศกำหนดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบที่ภาครัฐอยู่ระหว่างดำเนินการนั้น จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับประชาชน ภาคเกษตรกรรม และภาคธุรกิจที่สะสมมานานได้ในระดับปานกลาง โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรมเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อพัฒนาศักยภาพในกระบวนการผลิตและเสริมสภาพคล่องทางการเงิน รวมทั้งควรช่วยพิจารณาปรับลดเงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 230 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก
46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 37 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้

  1. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน (2.5% ต่อปี) ในระดับใด?
    อันดับที่ 1 : ปานกลาง 49.1%
    อันดับที่ 2 : มาก 44.8%
    อันดับที่ 3 : น้อย 6.1%
  2. อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างไร (Multiple choices)
    อันดับที่ 1 : ผู้ประกอบการชะลอการขยายธุรกิจ หรือชะลอการลงทุนใหม่ 67.8%
    อันดับที่ 2 : เกิดความเสี่ยงขาดสภาพคล่องทางการเงิน และการผิดนัดชำระหนี้ 61.3%
    อันดับที่ 3 : กำลังซื้อสินค้าของประชาชนลดลงจากการระมัดระวังการใช้จ่าย 60.4%
    อันดับที่ 4 : กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 53.9%
    และซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือน
  3. ธนาคารแห่งประเทศไทยควรมีบทบาทในการดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ระหว่างเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์อย่างไร
    อันดับที่ 1 : ออกมาตรการกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินและประกาศกำหนดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่เหมาะสม 80.0%
    อันดับที่ 2 : ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของสถาบันการเงินเป็นไปตามกลไกตลาด 20.0%
  4. ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการ/นโยบายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงอย่างไร (Multiple choices)
    อันดับที่ 1 : สนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับ SMEs ผ่านสถาบันการเงินของรัฐและปรับลดเงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น 74.3%
    อันดับที่ 2 : ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 52.2%
    อันดับที่ 3 : ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) 50.9%
    อันดับที่ 4 : จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนสินเชื่อในการทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย 47.0%
  5. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการรับมือกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับสูงอย่างไร
    (Multiple choices)
    อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจและปรับแผนธุรกิจ 70.4%
    อันดับที่ 2 : ชะลอการลงทุนและการจ้างงาน ปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่เพื่อเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน 57.4%
    อันดับที่ 3 : ปรับการบริหารเครดิตเทอมทั้งในส่วนของเจ้าหนี้และลูกหนี้การค้าเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน 37.8%
    อันดับที่ 4 : เจรจาปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถของธุรกิจหรือเปลี่ยน/ย้ายสถาบันการเงินเพื่อรีไฟแนนซ์ให้ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง 36.5%
  6. คาดว่ามาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบของภาครัฐ จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระดับใด
    อันดับที่ 1 : ปานกลาง 42.6%
    อันดับที่ 2 : มาก 34.3%
    อันดับที่ 3 : น้อย 23.1%

ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ส.อ.ท. เสนอคุมส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก ช่วย ผปก.

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๗ เม.ย. อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม VICHY LIFTACTIV BRAND PARTNER ตัวแทนประเทศไทย ร่วมงาน 'V.I.C VICHY INTEGRATIVE CENTER' อีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ของแบรนด์ VICHY (วิชี่) อวดลุคเซ็กซี่สุดฮอต สวย ปัง
๒๖ เม.ย. ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๒๖ เม.ย. NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๒๖ เม.ย. แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๒๖ เม.ย. แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๒๖ เม.ย. RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๒๖ เม.ย. ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๒๖ เม.ย. เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๒๖ เม.ย. ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๒๖ เม.ย. ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud