นางปัทมา เล้าวงษ์ รองประธานกรรมการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "SMPC" รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2567 บริษัทคาดยอดขายจะเติบโตกว่า 20% จากปี 2566 โดยตั้งเป้าขายถังแก๊สไว้ที่ 6.8 ล้านใบ ปัจจุบันคำสั่งซื้อเริ่มกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าจะเห็นแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง
โดยภาพรวมดีมานด์เริ่มกลับมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา เช่น ในทวีปเอเชีย เนื่องจากบางประเทศมีนโยบายปรับเปลี่ยนเก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบสูงขึ้น ทำให้เราได้ประโยชน์จากลูกค้าเก่ากลับมาซื้อถังแก๊ส และชื่อเสียงของ SMPC ได้รับการยอมรับที่ดี
นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น ในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นกัน และในปีนี้ตลาดตะวันออกกลางเป็นตลาดที่น่าสนใจ จากการที่รัฐบาลไทยและซาอุดิอารเบีย มีการจับมือ Business Matching ซึ่งเป็นผลดีต่อ SMPC ในการรุกตลาดตะวันออกกลางมากขึ้น ซึ่งการขยายตลาดในทุกภูมิภาคของโลกเพื่อลดการกระจุกตัวและเป็นการกระจายความเสี่ยง
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ งวดปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 3,810.87 ล้านบาท โดยยอดขายลดลง 1,437.15 ล้านบาท หรือลดลง 27.4% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 371.24 ล้านบาท ลดลง 457.64 ล้านบาท หรือลดลง 55.2% จากปีก่อน สาเหตุที่ยอดขายและกำไรลดลง เนื่องจากลูกค้าชะลอการสั่งซื้อจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่หดตัวทำให้ความต้องการซื้อถังใหม่ลดลง ส่งผลให้อัตราการทำกำไรลดลงจากการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เร่งปรับนโยบายและกลยุทธ์ในการขาย โดยเน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังความดันต่ำประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากถังแก๊สสำหรับใช้ตามครัวเรือนที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไร พร้อมกับเร่งเข้าไปทำตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันคำสั่งซื้อเริ่มกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำเร็จ ซึ่งได้การรับรองมาตรฐานและได้รับคำสั่งซื้อมาบางส่วนแล้ว คาดว่าจะเติบโตได้ดีในอนาคต
ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นและตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.42 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวด 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 ยังเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวด 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 113 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 5 เมษายน 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 เมษายน 2567
ที่มา: ไออาร์ พลัส