จาก "การเติบโตที่เกื้อกูลกัน" สู่ "การบูรณาการด้วยนวัตกรรม"
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีนที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกันโดยธรรมชาติของรูปแบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ในปี พ.ศ. 2566 จีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยเป็นปีที่ 11 ติดต่อกัน โดยมีมูลค่าการค้าทวิภาคีทะลุ 109 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 18% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทย ที่มีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ยิ่งกว่าคือ ความร่วมมือระหว่างสองประเทศกำลังยกระดับจากภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมไปสู่การผลิตขั้นสูงและเศรษฐกิจดิจิทัล ตัวอย่างเช่น การเชื่อมโยงระหว่างระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของไทยกับโครงการ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ของจีน โครงการรถไฟจีน-ไทย ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี พ.ศ. 2569 เมื่อโครงการรถไฟจีน-ไทยสร้างเสร็จสมบูรณ์ จะสามารถลดต้นทุนการขนส่งลงได้ 1% และส่งเสริมการส่งออกเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน เช่น บีวายดี และเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ในจังหวัดระยอง ส่งผลให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2567 การส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์ยางของไทยเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 40.8% และ 24.8% ตามลำดับ โดยมีจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก ในขณะเดียวกัน การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์จากจีนไปไทยก็เติบโตขึ้นระหว่าง 20%-30% โครงสร้างการแบ่งงานเชิงแนวดิ่งในลักษณะนี้ได้ทลายอคติของโลกตะวันตกที่ว่า "ความร่วมมือใต้-ใต้ไม่สามารถนำไปสู่การยกระดับทางเทคโนโลยีได้"
ในภาคเกษตรกรรม ปี พ.ศ. 2565 จีนได้นำเข้าทุเรียนสดจำนวน 825,000 ตัน โดยประมาณ 95% มาจากประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566 จีนได้นำเข้าทุเรียนสดเพิ่มขึ้นเป็น 1.426 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนั้น 929,000 ตันมาจากไทย ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรเขตร้อนของจีน (CATAS) ได้ส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรเขตร้อนในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาอย่างยั่งยืนของพืชเศรษฐกิจเขตร้อน อาทิ ยางพารา กล้วย และมันสำปะหลัง ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือไทย-จีนในด้านวิทยาศาสตร์เกษตร จากความร่วมมือในรูปแบบ "การแลกเปลี่ยนทางตลาด" กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ "การพึ่งพาทางเทคโนโลยีร่วมกัน"สะท้อนถึงการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองประเทศในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม: เสียงสะท้อนที่ลึกซึ้งเกินกว่า "การส่งออกวัฒนธรรม"
ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมไทย-จีนไม่เคยหยุดอยู่แค่การแลกเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์ ข้อมูลปี 2567 ระบุว่า จำนวนหลักสูตรภาษาไทยในมหาวิทยาลัยจีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน การเคลื่อนไหวสองทางนี้ปรากฏชัดเป็นพิเศษในแวดวงภาพยนตร์ ปี 2560 ภาพยนตร์ไทยเรื่อง ฉลาดเกมส์โกง ทำรายได้ในจีนถึง 2.71 พันล้านหยวน ขณะที่ภาพยนตร์เรื่อง หลานม่า ที่เข้าฉายในเดือนมีนาคม 2568 ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมชาวจีนอย่างล้นหลาม ส่วนละครไทยที่ดัดแปลงจาก Nirvana in Fire ทำยอดเข้าชมบนแพลตฟอร์มTrueID ทะลุ 80 ล้านครั้ง ความสำเร็จของการดัดแปลงข้ามวัฒนธรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าร่วมกันในด้านศีลธรรมครอบครัวและค่านิยมทางสังคม ในการรับมือกับวิกฤตสุขภาพสาธารณะ ความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรม ปี 2566 ขณะที่ประเทศไทยเผชิญการระบาดของไข้เลือดออก จีนได้ให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีถอดรหัสพันธุกรรมอย่างทันท่วงที ขณะที่ไทยก็ได้แบ่งปันองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกให้แก่จีนในช่วงที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนประสบภัยแล้ง การแบ่งปันความรู้บนพื้นฐานของความเคารพและความเสมอภาคนี้ คือตัวอย่างที่แท้จริงของ "ความกลมกลืนท่ามกลางความแตกต่าง" แห่งภูมิปัญญาอารยธรรมตะวันออก
ยุทธศาสตร์แห่งความเป็นอิสระ: ร่วมกันเผชิญหน้ากับอนาคตท่ามกลางกระแสต้าน
ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความท้าทายร่วมของมนุษยชาติ ไทย-จีนได้ร่วมกันก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำหลวงน้ำเงี้ยบในลาว โดยใช้ระบบผสมผสานระหว่างพลังน้ำและโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ ซึ่งเป็นต้นแบบแห่งสมดุลระหว่างความมั่นคงด้านพลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน คือประวัติศาสตร์ของการรื้อทำลายกำแพงทางความคิด จากการจับมือ "ละลายน้ำแข็ง" ระหว่างเจ้าชายกฤดิ์ ปราโมช กับนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลในปี พ.ศ. 2518 มาจนถึงวันนี้ที่มีเที่ยวบินตรงกว่า 700 เที่ยวต่อสัปดาห์เชื่อมสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ทั้งสองประเทศได้พิสูจน์แล้วว่า ประเทศที่มีระบอบการปกครองและวัฒนธรรมต่างกันอย่างสิ้นเชิงสามารถแสวงหาความร่วมมือและสร้างประโยชน์ร่วมกันได้อย่างแท้จริง
ประสบการณ์จากความร่วมมือไทย-จีนแสดงให้เห็นว่า เมื่ออารยธรรมตะวันออกสนทนากันอย่างเสมอภาค สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ "แรงเสียดทาน" แต่คือ "แรงส่ง" ที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนจะยังคงใช้ "ภูมิปัญญาตะวันออก" ในการไขกุญแจแก้วิกฤตระดับโลก และทำให้คำกล่าวของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ฯ "ไทยจีนใช่เพียงญาติ แต่คือเพื่อนบ้านที่ดีตลอดไป" กลายเป็นความจริงตลอดกาล
ที่มา: พีอาร์โฟกัส