B R E A C H เรื่องจริงของการทรยศชาติครั้งประวัติศาสตร์ของอเมริกา

จันทร์ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๐๐๗ ๑๗:๐๓
กรุงเทพฯ--19 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท สืบสวนสอบสวน
สัญชาติ อเมริกา
กำกับ/เขียนบท บิลลี่ เรย์ (Shattered Glass)
อำนวยการสร้าง บ๊อบบี้ นิวไมเยอร์ (Training Day)
สก๊อตต์ สตรอสส์ (The Last Samurai)
นำแสดง คริส คูเปอร์ (Adaptation, American Beauty, Capote)
ไรอัน ฟิลลิปเป้ (Crash, Cruel Intention, Flags of Fathers)
ลอว์ร่า ลินนี่ย์ (Kinsey, You Can Count on Me, Love Actually)
เดนนิส เฮย์สเบิร์ก (Jarhead, Far From Heaven)
แคทธลีน ควินแลน (Apollo 13, The Hills Have Eyes)
แกรี่ โคล (The Ring Two, Talladega Nights: The Ballade of Ricky Bobby)
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
กำหนดฉาย 29 พฤศจิกายน 2007
Official Site http://www.breachmovie.net/
เรื่องราว
“เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ไม่ใช่แค่สาบานตนว่าจะรักษากฎหมาย แต่ยังต้องอุทิศตัวเพื่อช่วยป้องกันความมั่นคงของประเทศด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเอฟบีไอคนหนึ่งทรยศต่อความไว้วางใจของชาติ จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ การก่ออาชญากรรมลักษณะนี้ถือเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดต่อประเทศที่ปกครองโดยกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังทำลายหัวใจขององค์กรเอฟบีไอ และหักหลังความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ชายหญิงกว่า 28,000 ชีวิตที่ซื่อสัตย์และอุทิศตนทำงานอย่างแข็งขันเพื่อสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจให้ชาวอเมริกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
- อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ หลุยส์ เจ ฟรีห์ กล่าวในการจับกุม โรเบิร์ท แฮนส์เซ่น - ในสหรัฐอเมริกา มีกลุ่มหญิงชายระดับหัวกะทิทำหน้าที่ถือกุญแจไขสู่ประเทศ พวกเขาคือเจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ ที่ไม่เพียงสาบานตนว่าจะรักษากฎหมาย แต่ยังต้องรับใช้ชาติด้วยเกียรติเสมอปฏิบัติต่อครอบครัว และนี่คือเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ทรยศคนทั้งชาติ
Breach คือภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในองค์กรรักษาความมั่นคงของชาติที่ทำหน้าที่เหมือนหน้าด่านเฝ้าประตูทางเข้าและผู้ดูแลความลับสุดยอดของประเทศ ซึ่งก็คือ สำนักงานสืบสวนกลาง หรือที่รู้จักกันในนาม เอฟบีไอ
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2001 เจ้าหน้าที่เอฟบีไอชื่อดัง โรเบิร์ท แฮนส์เซ่น ถูกจับกุมข้อหาทรยศชาติ โดยลักลอบนำข้อมูลลับของอเมริกาไปขายให้อดีตสหภาพโซเวียตเป็นเวลานานถึง 2 ทศวรรษ วันนี้นักแสดงยอดฝีมือ คริส คูเปอร์ เจ้าของรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Adaptation คือผู้ที่จะมารับบท แฮนเซ่น จารชนผู้ฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน
ส่วน ไรอัน ฟิลลิปเป้ นักแสดงหนุ่มไฟแรงจาก Cruel Intention และ Crash รับบทเป็น เอริค โอนีล เจ้าหน้าที่ฝึกหัดที่ทางเอฟบีไอเลือกเข้ามาช่วยเปิดโปงความผิดของแฮนส์เซ่น เมื่อโอนีลได้เลื่อนขั้นจากเจ้าหน้าที่ชั่นล่างมาอยู่ในเอฟบีไอสำนักงานใหญ่ ความฝันที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอเต็มตัวของเขาก็อยู่แค่เอื้อม ที่น่าดีใจกว่านั้นคือเขาได้รับเลือกให้ร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ชั้นนำอย่างแฮนส์เซ่นในแผนก “ดูแลข้อมูลข่าวสาร” แผนกใหม่ที่ทำหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลลับทุกอย่างของเอฟบีไอ
จากความกระตือรือร้นในตอนแรก กลายเป็นความหวั่นวิตก เมื่อโอนีลได้รู้เหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังการได้เลื่อนขั้น เอฟบีไอสืบเรื่องแฮนส์เซ่นอย่างลับๆมานานแล้ว เพราะเขาเป็นผู้ต้องสงสัยขายชาติที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อระบบรักษาข้อมูลที่ตัวเขาเองดูแลอยู่
ทางเอฟบีไอขอให้โอนีลใช้ความไว้ใจฉันท์ศิษย์-อาจารย์ระหว่างเขากับแฮนส์เซ่นเป็นเครื่องมือกระชากหน้ากากกบฏของแฮนส์เซ่นออกมา ตอนนี้เกมชิงไหวชิงพริบสุดอันตรายระหว่างสายลับกับสายลับจึงเริ่มต้นขึ้น โอนีลต้องหาทางจับแฮนส์เซ่นให้ได้ ก่อนที่หัวกะทิอย่างแฮนส์เซ่นจะจับเขาได้และทำลายชีวิตเขา, ครอบครัวเขา และประเทศที่เขาสาบานว่าจะปกป้อง
งานสร้าง
เรื่องราวของ Breach (ดังที่ชาวอเมริกันทั่วไปรู้กัน) เกิดขึ้นก่อนหน้าโศกนาฏกรรม 11 กันยายน 2001 เพียงไม่กี่เดือน จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่เอฟบีไอชายหญิงกว่า 500 คนอย่างต่อเนื่องโดยทีมสืบสวนพิเศษ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ของปีนั้น เจ้าหน้าที่พิเศษ โรเบิร์ท แฮนส์เซ่น ก็ถูกจับกุมข้อหาจารกรรม
ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่แฮนส์เซ่นทำงานในองค์กรเอฟบีไอ เขาใช้เวลา 22 ปีหลังขายเอกสารลับหลายพันหน้าให้รัสเซียในช่วงสงครามเย็น และขายต่อเนื่องให้อดีตสหภาพโซเวียต ความผิดของเขารวมถึงการระบุตัวสายลับเคจีบีที่ทำงานให้อเมริกา และเปิดเผยแผนการย้ายตัวประธานาธิบดีในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งหนึ่งด้วย
สมาชิกคนหนึ่งในทีมเอฟบีไอคือชายหนุ่มวัย 26 ปี ชื่อ เอริค โอนีล นักสืบพิเศษที่ก่อนหน้านั้นเพียง 3 เดือนได้รับเลือกเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยของแฮนส์เซ่น ทางเอฟบีไอจับโอนีลไปอยู่ในตำแหน่งนั้นเพราะหวังว่าเขาจะสามารถทำให้แฮนส์เซ่นไว้ใจและค่อยๆกะเทาะหน้ากากคนขายชาติของแฮนส์เซ่นออกมาได้ หลังการจับกุม โอนีลถูกเรียกตัวให้กลับไปรับตำแหน่งเดิม แต่เขาลาออกจากเอฟบีไอเพื่อไปเรียนต่อด้านกฎหมายในเวลาต่อมา
เมื่อลาออกจากเอฟบีไอ โอนีลก็เล่าประสบการณ์การทำงานและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฮนส์เซ่นให้เดวิดผู้เป็นน้องชายฟัง ซึ่งเดวิดบอกเขาว่าเรื่องนี้น่าติดตามและสามารถนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ โอนีลจึงติดต่อไปยังเอฟบีไอและได้รับอนุญาตให้นำเรื่องราวดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนตร์ได้
ผู้อำนวยการสร้าง บ๊อบบี้ นิวไมเยอร์ และ สก๊อตต์ สตรอสส์ แห่งบริษัท Outlaw Productions ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องราวของโอนีล และร่วมกับโอนีลหาทีมเขียนมาขัดเกลาเรื่องราวให้เป็นบทภาพยนตร์ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ได้ตัว อดัม เมเซอร์ และ วิลเลี่ยม ร็อทโก มา
ระหว่างการพัฒนาบท นิวไมเยอร์ได้ดูหนังดราม่าปี 2003 เรื่อง Shattered Glass ที่บิลลี่ เรย์ กำกับและเขียนบท แล้วรู้สึกว่าเรย์ถ่ายทอดเรื่องราวที่มาจากชีวิตจริงของนักข่าวชื่อ สตีเว่น กลาส ออกมาได้ดีซึ่งทำให้เขาเหมาะจะเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างโอนีลกับแฮนส์เซ่นมากที่สุด สุดท้ายเรย์ก็เข้ามาร่วมในโปรเจ็คต์นี้ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้กำกับแต่ยังควบตำแหน่งมือเขียนบทของ Breach ด้วย
ด้วยการผลักดันของ สก๊อตต์ ครูปฟ์ แห่ง Intermedia Films ทีมผู้สร้างได้นำโปรเจ็คต์นี้ไปเสนอ Universal Pictures ที่ยินดีเปิดไฟเขียวสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ “เราเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากสำหรับการทำเป็นหนัง เพราะมันมาจากเรื่องจริง” ผู้อำนวยการสร้างครูปฟ์กล่าว “เรายังเชื่อกันด้วยว่าบิลลี่คือผู้กำกับที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้ เขามีมโนภาพตรงกับที่หนังเรื่องต้องการ”
บิลลี่ เรย์ พูดถึงการตัดสินใจเข้ามากำกับและเขียนบทให้ Breach ว่า “ผมมักจะชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการหลอกลวง หรือไม่ผมก็ชอบตัวละครที่มีชีวิต 2 ด้าน คือชีวิตด้านนอกและชีวิตด้านในที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่ทำให้เรื่องยิ่งน่าสนใจมากขึ้น “แฮนส์เซ่นเป็นผู้ชายที่มีความขัดแย้งในตัวเองและทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับประเทศของตัวเอง” เรย์กล่าว “เขาเป็นสายลับให้โซเวียตและรัสเซียนานถึง 22 ปีกว่าจะถูกจับได้ แสดงว่าต้องเป็นคนฉลาดมาก แต่ความจริงคือเขาเป็นคนชั่ว คนทรยศต่อชาติบ้านเมือง”
เมื่อได้ไฟเขียวจากค่ายหนัง ทีมงานก็เริ่มเดินหน้าหาทีมนักแสดงฝีมือดีที่จะมารับบทนำในภาพยนตร์แห่งความฉ้อฉลที่ประวัติศาสตร์อเมริกันต้องจารึกเป็นขั้นตอนถัดมา
รวบรวมทีมนักแสดง
“บิลลี่ต้องการให้ คริส คูเปอร์ มารับบทนำตั้งแต่แรก” ผู้อำนวยการสร้างครูปฟ์เล่า “เขารู้สึกว่าคริสเป็นเหมือนตัวแทนของ โรเบิร์ท แฮนส์เซ่น เพราะเขาสามารถถ่ายทอดด้านมืดของตัวละครออกมาได้โดยยังคงความเป็นมนุษย์อยู่ คำว่า “จิ้งจกเปลี่ยนสี” เหมาะกับคริสมาก และตัวละครตัวนี้ก็มีหลายเฉดหลายชั้นหลายสีและมีความขัดแย้งในตัวมากมาย”
คูเปอร์ที่เมื่อหลายปีที่ผ่านมาเลือกรับบทหลากหลายตั้งแต่บท ผู้พันแฟรงค์ ฟิตส์ ในภาพยนตร์ออสการ์ American Beauty กระทั่งบทนักขี่ม้า ทอม สมิธ ใน Seabiscuit เปิดเผยว่าที่เขาตัดสินใจรับบทแฮนส์เซ่นก็เพราะความชาญฉลาดของบทหนังและความซับซ้อนของตัวละคร “บทหนังดีๆหายาก และหนังเรื่องนี้ก็เข้ามาหาผม บทหนังดี ตัวละครก็แปลกใหม่และได้รับการเขียนขึ้นมาอย่างประณีต”
“แฮนส์เซ่นอาจเป็นตัวละครที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ผมเคยแสดงก็ได้ เขาอยู่ในโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และนั่นทำให้เกิดความขัดแย้งตลอดเวลา” คริส คูเปอร์ พูดถึงบทคนขายชาติว่า “แต่ละฉากผมต้องแสดงให้เหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ผมว่าแบบนั้นเป็นการอธิบายตัวละครให้คนดูเข้าใจทางหนึ่ง”
“แฮนส์เซ่นเป็นคนไม่เป็นมิตร แต่ก็มีเสน่ห์” ผู้กำกับ บิลลี่ เรย์ อธิบาย “ทันทีที่พูดออกมาเราจะรู้เลยว่าเขาเป็นคนฉลาด แต่ก็จะรู้ด้วยว่าเขาเป็นคนแปลกๆ เวลาเขามอง คุณจะรู้สึกเหมือนเข้าเครื่องเอ๊กซเรย์ เขามีความสามารถในการบั่นทอนความมั่นใจคน ไม่ค่อยมีนักแสดงคนไหนทำแบบนั้นได้โดยไม่ทำให้ตัวเองดูเพี้ยนๆ แต่คริสทำได้ และคุณจะรู้สึกได้ว่าเขาเกิดมาเพื่อรับบทแฮนส์เซ่น”
ที่ปรึกษาประจำกองถ่ายอย่างโอนีลก็ยังตะลึงกับการแสดงของคูเปอร์ “คริสรับบทแฮนส์เซ่นได้เหมือนมาก ผมนั่งดูยังขนลุก” อดีตเอฟบีไอเปิดใจ “เขาจริงจังมากเรื่องทำความเข้าใจตัวละคร ไม่ใช่แค่ฝึกพูดสำเนียงชิคาโก้ แต่ยัง เดินเหินและรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวคนอื่นได้เหมือนแฮนส์เซ่นด้วย เขาสร้างตัวละครแฮนส์เซ่นขึ้นมาได้สำเร็จด้วยความคล้ายคลึงเหล่านี้”
ส่วน ไรอัน ฟิลิปเป้ ที่ทีมงานติดต่อให้มารับบท เอริค โอนีล ก็ตกลงรับแสดงเพราะนี่คือโอกาสดีที่เขาจะได้แสดงเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักแสดงคุณภาพอย่าง คริส คูเปอร์ “ในความคิดผม คริส คูเปอร์ คือนักแสดงที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการขณะนี้ การได้ร่วมงานกับเขาในหนังคุณภาพและโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากเขาทำให้ผมตื่นเต้น”
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฟิลลิปเป้ตื่นเต้นกับโปรเจ็คต์นี้ก็คือมันได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง “มีเรื่องต้องศึกษามากมายถ้าคุณทำหนังที่สร้างจากเรื่องจริง” ฟิลลิปเป้กล่าว “มีหนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้หลายเล่มให้อ่านและมีคนหลายคนให้ไปสัมภาษณ์ เป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับนักแสดงที่ได้เข้าไปหาแหล่งข้อมูลแบบนี้”
ฟิลลิปเป้พูดถึงตัวละครของเขาว่า “เอริค โอนีล เป็นคนทะเยอทะยาน ฉลาด และบางครั้งก็หยิ่งในความสามารถของตัวเอง เขาจริงจังกับงานแต่ก็ยังมีอารมณ์ขัน นิสัยประหลาดและพฤติกรรมน่ารำคาญของแฮนส์เซ่นทำให้เอริคหงุดหงิด ผมชอบที่เขาให้เอริคโกรธ และชอบวิธีการที่เอริคแสดงให้แฮนส์เซ่นรู้ว่าเขาอารมณ์เสีย”
ผู้อำนวยการสร้าง สก๊อตต์ สตรอสส์ ดีใจที่ฟิลลิปเป้ตกลงแสดงเรื่องนี้ “ไม่บ่อยนักที่พระเอกของเรื่องจริงจะมาเป็นที่ปรึกษาในกองถ่ายและสามารถหานักแสดงที่ปลื้มเขาสุดๆมาได้ ทุกครั้งที่ผมเห็นไรอันกับเอริคอยู่ด้วยกัน ผมอดมองซ้ำไม่ได้ ไรอันถ่ายทอดนิสัยท่าทางของเอริคออกมาได้อย่างดี”
ลอว์ร่า ลินนี่ย์ นักแสดงสาวผู้เข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง ร่วมแสดงในบทเจ้าหน้าที่ เคท เบอร์โรส์ ที่ปรึกษาของโอนีลในภารกิจครั้งนี้ ทีมงานยอมรับว่าค่อนข้างยากที่จะหานักแสดงหญิงมารับบทนี้ “เราต้องการนักแสดงที่มีความพิเศษเพื่อมารับบทนี้” ผู้กำกับบิลลี่ เรย์กล่าว “เคทเป็นส่วนเติมเต็มที่ทำให้บทหนังสมบูรณ์ แต่ไม่ใช่บทเด่น มันยากนะที่จะบอกนักแสดงดังๆว่า บทคุณไม่เด่นนะ แต่เราชื่นชมคุณจริงๆ เราดีใจมากที่ลอว์ร่าตกลงรับบทเคท เธอทำเหมือนที่คริสทำ นั่นก็คือ นำความสมจริงมาสู่ตัวละคร”
เช่นเดียวกับ คูเปอร์ และ ฟิลลิปเป้ ลินนี่ย์บอกว่าคุณภาพของบทหนังคือเหตุผลหลักที่เธอตกลงแสดง “เป็นการอ่านบทที่วิเศษ ฉันอ่านแล้วตื่นเต้น ตัวละครน่าสนใจ และมีความตึงเครียดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง”
ลินนี่ย์ยังรู้สึกปลื้มที่ได้ร่วมงานกับคูเปอร์และฟิลลิปเป้ด้วย “คริสเป็นนักแสดงที่ดีที่สุดคนหนึ่งตอนนี้ ฉันรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ร่วมฉากกับเขา แต่แค่ได้แสดงในหนังเรื่องเดียวกันก็ดีใจแล้ว สำหรับไรอัน ฉันนับถือเขา ฉันชอบดูเขาเข้าฉากเพราะเขาจะตั้งใจมาก ช่วงนี้คือช่วงที่น่าตื่นเต้นของเขา เพราะหลังจากหนังเรื่อง Flag of our Fathers ของคลินต์ อีสต์วู้ด เขาก็มาแสดงเรื่องนี้ เป็นเรื่องสนุกที่ได้ทำงานกับนักแสดงที่เลือกงานหลากหลาย”
เจ้าหน้าที่ เคท เบอร์โรส์ เป็นผู้ดูแลโอนีลระหว่างปฏิบัติการ เธอจะคอยให้คำแนะนำและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับแฮนส์เซ่นจากเขา จากนั้นก็กรองข้อมูลและนำไปให้ทีมสืบสวนพิเศษวิเคราะห์ จากกระบวนการนี้ เคทจึงกลายเป็นที่ปรึกษาของโอนีล “เคทกลายเป็นเจ๊ใหญ่ของผม เป็นคนที่ผมหันมาพึ่งเวลาเครียดเรื่องแฮนส์เซ่น เธอปลอบใจผมและให้คำแนะนำว่าควรทำอย่างไรต่อไป” โอนีลตัวจริงเล่า
แคธลีน ควินแลน นักแสดงสาวผู้เคยเข้าชิงออสการ์คือผู้ที่เข้ามารับบท บอนนี่ แฮนส์เซ่น ภรรยาแสนดีผู้เคร่งศาสนาของโรเบิร์ท แฮนส์เซ่น “บอนนี่เป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก เธอฉลาดและเข้มแข็ง แต่ก็อ่อนหวาน” ผู้กำกับเรย์กล่าว “เรารู้สึกว่าแคธลีนเหมาะสมกับบทนี้ที่สุด
แม้ว่าควินแลนจะไม่ได้พบกับบอนนี่ตัวจริง แต่เธอก็รู้สึกได้ “บอนนี่เป็นผู้หญิงที่อุทิศตนเพื่อครอบครัวและรักสามีมาก เธอเป็นคาธอลิคที่เคร่ง ทุกอย่างที่เธอทำก็เพื่อรับใช้พระเจ้าและครอบครัว”
“แต่” ควินแลนกล่าวเพิ่มเติม “แม้ว่าบอนนี่จะเป็นคนอ่อนหวานและใจดี แต่เธอก็มีความเข้มแข็งเด็ดขาด เธอเป็นเหมือนที่พักพิงและที่ปรึกษาของแฮนส์เซ่น ถ้าเธอไม่ชอบการกระทำของสามี เธอก็ไม่ลังเลที่จะบอกเขา เธอเข้มแข็งพอที่จะนำทางแฮนส์เซ่น ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก แฮนส์เซ่นเป็นคริสต์นิกายลูเธอรันที่ไม่เคร่ง จากนั้นเธอก็พาเขาไปยังองค์กรโอปุสเดอีที่จนต่อมาเขากลายเป็นโฆษกของโบสถ์ที่นั่น”
การเล่าเรื่องราวการทรยศต่อภรรยาของแฮนส์เซ่นถือเป็นความท้าทายสำหรับทีมงาน “บอนนี่เป็นส่วนสำคัญของชีวิตแฮนส์เซ่น” ผู้กำกับเรย์กล่าว “เราไม่ต้องการทำให้เธอขายหน้า และไม่อยากเน้นตัวเธอมากเกินความจำเป็น เธอเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เพราะเราต้องการลงทุกแง่มุมของชีวิตแฮนส์เซ่น การที่เขาเป็นคนรักครอบครัวถือเป็นประเด็นสำคัญ”
นักแสดงหน้าใหม่ แคโรลีน ดาเวอร์นาส ได้รับคัดเลือกให้รับบทเป็น จูเลียน่า ภรรยาของโอนีล ผู้กำกับเรย์อธิบายว่า “เราทดสอบนักแสดงหญิง 4 คนกับไรอัน แต่แคโรลีนดูโดดเด่นที่สุด เธอดูเข้ากับไรอันได้ดี”
สำหรับโอนีล สิ่งหนึ่งที่ยากที่สุดของการเป็นเอฟบีไอก็คือเก็บภารกิจเป็นความลับแม้กับภรรยาตัวเอง “ยิ่งผมรู้จัก จูเลียน่า โอนีล มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้ว่าเธอเป็นส่วนประกอบสำคัญของเรื่องนี้ เธอมองอะไรทะลุปรุโปร่ง เธอรู้สึกได้ว่ากำลังเกิดอะไรบางอย่างกับสามี ถึงไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เธอก็รู้ว่ามันต้องเกี่ยวกับ โรเบิร์ท แฮนส์เซ่น เธอรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”
“จูเลียน่า เป็นภรรยาที่น่ารักและแสนดี” ดาเวอร์นาสกล่าว “แต่เธอก็เข้มแข็งและเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งนานวัน เธอก็ยิ่งเห็นว่าสามีค่อยๆเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอแต่งงานด้วยอีกต่อไปแล้ว”
นอกจากนักแสดงนำเหล่านี้แล้ว Breach ยังร่วมแสดงโดยนักแสดงชื่อดังอย่าง เดนนิส เฮย์สเบิร์ก และ แกรี่ โคล ด้วยในบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ โดยเฮย์สเบิร์กพูดถึงตัวละครของเขาว่า “นักสืบพิเศษพลีแซคต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรคือแรงผลักดันของเอริค เขาต้องกระตุ้นให้เอริคทำงาน ระวังหลังให้เขาและให้เขาทำให้ได้อย่างที่พูด”
แกรี่ โคล รับบทเป็น ริช เกรซ นักสืบพิเศษที่ช่วยจัดการเรื่องวางกับดักให้แฮนส์เซ่นตกหลุมรพางของเอฟบีไอ ในหนัง เกรซเป็นเหมือนหนามยอกอกของแฮนส์เซ่น เพราะเขาเป็นข้าราชการที่ประสบความสำเร็จซึ่งแฮนส์เซ่นรู้สึกหมั่นไส้ “แฮนส์เซ่นเตรียมตัวเกษียณอยู่แล้ว” โคลอธิบาย “แต่เอฟบีไอกลับเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นสายลับที่ตามหาอยู่ เอฟบีไอให้เขาทำงานในแผนกระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเขาฝันอยากทำมาตลอด และเกรซคือเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่คอยจับตามองเขา”
เตรียมตัวรับมือเรื่องจริง
ทีมงานและนักแสดงกับการสร้างตัวละคร “แฮนส์เซ่น”
ทีมงานทุกคนรู้ดีว่าการสร้างสมดุลระหว่างความตึงเครียดแบบหนังดราม่ากับการเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงโดยที่ตัวละครยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นงานหิน ผู้อำนวยการสร้างครูปฟ์กล่าวว่า “ในฐานะคนทำหนัง คุณคงอยากสร้างมันให้ถูกต้องตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องจำไว้ด้วยว่าคุณสร้างหนังเพื่อมุ่งสร้างความบันเทิงเป็นหลัก”
“บิลลี่สร้างมาตรฐานไว้สูงมากในหนังเรื่อง Shattered Glass เขาเล่าเรื่องได้ดีมากโดยไม่บิดเบือนความจริง กับ Breach เขาต้องการสร้างให้มันตรงกับวัตถุดิบมากที่สุด ทั้งตัวละครและเรื่องราว แต่ก็รักษาความเป็นหนังไว้ด้วย” ผู้อำนวยการสร้างครูปฟ์กล่าวต่อ
ทีมงานต้องการให้ผู้ชมมองเห็นมุมเดียวกับโอนีลในตอนแรกที่โอนีลสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับแฮนส์เซ่นกันแน่ เป็นเทคนิคทางการเล่าเรื่องของผู้กำกับเรย์ที่ให้โอนีลรู้ความจริงตอนกลางเรื่องเมื่อเขาได้พบกับเคท เบอร์โรส์ที่บอกเหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังภารกิจของเขา
บิลลี่ เรย์ ยอมรับว่าเขาชอบทำหนังที่ต้องค้นคว้าหาข้อมูล และเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าควรดัดแปลงและเสริมแต่งเรื่องราวบางอย่างเข้าไปในเรื่องจริงเพื่อดึงความสนใจของผู้ชม แต่ในกรณีของ Breach ไม่ใช่อย่างนั้น “เราไม่ต้องปรับเรื่องราวของโรเบิร์ท แฮนเซ่นเลย เพราะเรื่องของเขาน่าติดตามและน่าประหลาดใจมาก เราไม่ต้องเสริมอะไรเข้าไปเพื่อพัฒนาการเล่าเรื่องเลย บางเหตุการณ์อาจต้องมีการรวบย่อ ตัวละครบางตัวอาจต้องรวมเป็นตัวเดียว หรือต้องเปลี่ยนชื่อ เพื่อความปลอดภัย แค่สิ่งที่เราเล่าคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด”
เอริค โอนีล ยอมรับว่าเขารู้สึกปั่นป่วนทุกครั้งที่เดินเข้าฉาก “พอเห็นไรอันกับคริสในออฟฟิศที่ถอดแบบมาจากที่ผมเคยทำงานอยู่ และเห็นไรอันกับแคโรลีนแสดงเป็นตัวผมกับจูเลียน่า ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน และความรู้สึกเก่าๆก็ย้อนกลับมา”
ปี 2001 โอนีลเพิ่งแต่งงานกับจูเลียน่าใหม่และภารกิจนี้ทำให้ชีวิตคู่ของเขายุ่งยาก “ผมทำงานทั้งวัน ตอนกลางคืนก็ไปเรียนกฎหมาย และต้องกลับไปที่ออฟฟิศบ่อยๆ ผมแบ่งเวลาไม่ได้ ใจนึงก็อยากอยู่กับจูเลียน่า แต่ก็มาภารกิจสำคัญระดับชาติต้องทำ ผมก็เลยกลายเป็นไอ้งั่งที่ทำงานตลอดเวลาโดยไม่มีคำอธิบายที่ดีให้เมีย มันยากมากที่จะโกหกเธอ แต่ผมก็ต้องทำ เพราะมันเป็นงาน”
“เมื่อเอริคบอกความจริงกับฉัน” จูเลียน่าเล่า “ฉันรู้สึกตกใจและโล่งใจมากๆ หลายอย่างที่ฉันไม่เข้าใจตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาในที่สุดก็ชัดเจน หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องสุดยอดสายลับถูกจับ และฉันคือภรรยาของเจ้าหน้าที่ที่จับสายลับคนนั้น น่าตื่นเต้นมากๆ”
ผู้กำกับเรย์ให้โอนีลมีส่วนร่วมในงานสร้างทุกขั้นตอน ตั้งแต่แก้ไขบทภาพยนตร์จนถึงการนำมันขึ้นจอ “ผมทำงานร่วมกับเรย์อย่างใกล้ชิดเพื่อถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดอย่างถูกต้องตามมุมมองของเอฟบีไอคหนึ่ง” โอนีลกล่าว เขาเชื่อว่า Breach คือภาพยนตร์เกี่ยวกับเอฟบีไอที่มีรายละเอียดถูกต้องที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา
“ถ้าคุณมีแหล่งข้อมูลอย่างเอริคอยู่ในมือแล้วไม่ใช้ คงเป็นอะไรที่บ้ามาก เอริคช่วยผมได้เยอะมากเรื่องการค้นคว้าและการเขียนบท และเมื่อต้องหาตัวนักแสดง เขาก็เป็นออกความให้ไรอันและคริสมารับบทนำ เขารู้ดีที่สุดว่าโรเบิร์ท แฮนส์เซ่น เป็นคนแบบไหน
“ไรอันมีความเห็นเรื่องเอริค โอนีล ต่างออกไปจากที่ผมเขียนไว้ในบทหนังนิดหน่อย” ผู้กำกับเรย์เล่า “เขามองเห็นพลังระหว่างโอนีลและแฮนส์เซ่นที่ต่างจากในบทและจากที่ทุกคนคาดหมาย ไรอันเกิดความคิดนี้ขึ้นมาตอนพบกับเอริค เขาเห็นว่าแฮนส์เซ่นเป็นพวกชอบรังแก และชอบทำให้คนอื่นเสียหน้าก็จริง แต่เอริคก็สวนกลับทุกครั้งที่มีโอกาส นั่นทำให้เรื่องราวน่าสนจากขึ้นอีก”
คริส คูเปอร์ เตรียมตัวรับบทแฮนส์เซ่นด้วยการสอบถามโอนีลเกี่ยวกับอดีตหัวหน้าของเขา แถมยังขอให้เค้นความประทับใจที่มีต่อแฮนส์เซ่นออกมาให้เยอะที่สุดด้วย “ผมทำอะไรไม่ได้มากหรอกจากการดูฟุตเตจหรือฟังเสียงเขา” โดยธรรมชาติแล้ว คูเปอร์ไม่สามารถเลียนแบบรูปร่าง 6 ฟุต 3 นิ้วของแฮนส์เซ่นได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงมุ่งเก็บรายละเอียดนิสัยของแฮนส์เซ่น ไม่ว่าจะเป็นความทะนงตนหรือความขาดมนุษยสัมพันธ์
“ผมศึกษาแฮนส์เซ่นอย่างละเอียดตอนปฏิบัติภารกิจลับนั้น” โอนีลเล่า “ผมทำเต็มที่เพื่อถ่ายทอดมันออกมา และผมคิดว่าคริสดึงข้อมูลจากผมไปใช้ได้ดีมาก บางอย่างผมก็คาดไม่ถึง ทั้งๆที่มันนอนก้นอยู่ในสมองผมเอง”
คูเปอร์ค้นคว้าข้อมูลเยอะมาก เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับคดีแฮนส์เซ่นเกือบโหลเพื่อเตรียมตัวรับบทนี้ “จริงอยู่ที่อ่านๆไปจะเริ่มรู้สึกว่าเรื่องมันซ้ำไปซ้ำมา แต่ในแต่ละเล่มก็มีแง่มุมและทฤษฎีใหม่ๆเสมอ” คูเปอร์เล่า
คูเปอร์, ฟิลลิปเป้ และผู้กำกับเรย์มีเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ในการนั่งแตกรายละเอียดฉากต่างๆและคุยกันเรื่องตัวละครอย่างเพลิดเพลิน จากนั้นอีก 4 วันก็พา เอริค โอนีล เข้ามาปรึกษาลงลึกถึงรายละเอียดและบทสนทนา เรย์บอกว่า “คริสจดบันทึก สอบถาม และวิเคราะห์ความหมายของสิ่งที่เอริคพูด เพราะฉะนั้นไม่ได้เดาสุมหรือใส่อะไรเข้าไปเองเลย”
ฟิลลิปเป้ค้นคว้าข้อมูลเพื่อเตรียมตัวรับบท เอริค โอนีล ด้วยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับแฮนส์เซ่นและดูเทปสัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีนี้ “โอนีลถูกสัมภาษณ์ในตอนหนึ่งของรายการ 20/20 และ CNN เพราะฉะนั้นจึงมีฟุตเตจตอนที่แฮนส์เซ่นถูกจับอยู่ แต่การเตรียมตัวส่วนใหญ่ของผมคือพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ผมโทรไปหาเอริคเพื่อถามคำถามธรรมดาสุดๆ พวกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งเขาตอบผมทันที” ฟิลลิปเป้เล่า “เขาช่วยได้เยอะมา ทั้งในฐานะแหล่งข้อมูลว่าแฮนส์เซ่นเป็นคนยังไง และช่วยผมหาวิญญาณของตัวละครด้วย”
นอกจาก เอริค โอนีล แล้ว ฟิลลิปปียังไปถามข้อมูลจากจูเลียน่าด้วยว่าสามีของเธอเป็นอย่างไรในตอนนั้น ว่าเขาหมกมุ่นกับคดีมากแค่ไหน แล้วความเครียดเรื่องงานส่งผลกระทบต่อทั้งคู่อย่างไร
โดยปกติแล้ว นักแสดงจะรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบเมื่อรับบทเป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริง แต่ขณะที่ตัวละคร เคท เบอร์โรส์ ของ ลอว์ร่า ลินนี่ย์ สร้างจากเจ้าหน้าที่เอฟบีไอตัวจริง บทนี้ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของเธอโดยตรง เคทตัวจริงคอยให้คำปรึกษากับลินนี่ย์เรื่องตัวละครก็จริง แตผู้กำกับก็จัดห้องไว้ให้นักแสดงสาวตีความตัวละครเองด้วย “หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์เอฟบีไอ เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบและต้องรู้จริงถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่” ลอว์ร่า ลินนี่ย์ กล่าว
ลินนี่ย์ศึกษาตัวละครของเธอโดยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้เพิ่มเติมอย่างหนักและเดินทางไปสำนักงานเอฟบีไอ ที่วอชิงตัน ดีซี ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นั่นต่างให้การต้อนรับและสละเวลาช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ลินนี่ย์ยังไปที่พิพิธภัณฑ์สายลับในดีซี และสอบถามญาติที่ทำงานฝ่ายกฎหมายถึงแรงผลักดันตัวละครและรายละเอียดเฉพาะเจาะจงต่างๆ “ฉันขลุกอยู่กับเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งเป็นข้อดีของการเป็นนักแสดง” ลินนี่ย์กล่าว “เริ่มแรกฉันเหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่หาข้อมูลแบบบ้าคลั่ง แต่พออยู่ในกองถ่าย ทุกอย่างก็ลื่อนไหล หนังจะนำทางคุณไปเอง”
ในการเตรียมตัวรับบท บอนนี่ แฮนส์เซ่น แม้ แคธลีน ควินแลน จะไม่สามารถไปพูดคุยกับภรรยาตัวจริงของแฮนส์เซ่นได้ แต่หนังสือชื่อ Spy ก็ทำให้เธอเข้าใจตัวละครอย่างละเอียด “หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันเข้าใจบอนนี่และความรู้สึกที่เธอมีต่อสามีและงานของเขา” นอกจากนี้ควินแลนยังค้นคว้าเรื่องโอปุสเดอี สถาบันคาธอลิคที่ก่อตั้งโดยนักบุญโจสมาเรีย เอสคริว่า ที่ครอบครัวของแฮนส์เซ่นเป็นสมาชิก เธอได้เรียนรู้ว่าภารกิจของโอปุสเดอีคือเผยแพร่ข่าวสารและเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันต่างๆที่ทำให้คนได้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น ช่วยเหลือผู้อื่น และพัฒนาสังคม
ผู้กำกับเรย์ไม่ต้องไปค้นคว้าเรื่องโอปุสเดอีเอง เพราะทางองค์กรจัดการส่งตัวแทนมาให้ข้อมูลถึงกองถ่าย ทันทีที่รู้ข่าวเรื่องการถ่ายทำ ทางโบสถ์ก็ส่งตัวแทนจากอีสต์โคสต์จำนวน 2 คนมายังลอสแองเจลลิสเพื่อพูดคุยกับทีมงาน “พวกเขาคงกังวลว่าผมจะเสนอภาพโอปุสเดอีออกมายังไง และคงกลัวว่าผมจะเสนอภาพ บอนนี่ แฮนส์เซ่น ออกมาไม่ถูกต้อง เพราะเธอเป็นสมาชิกคนสำคัญขององค์กร ผมเองก็รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบตัวละครนี้” เรย์ทำให้โอปุสเดอีสบายใจ และสุดท้ายคนของโบสถ์ก็กลายเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี
สำหรับการเตรียมตัวรับบท จูเลียน่า ภรรยาของ เอริค โอนีล แคโรลีน ดาเวอร์นาส มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับจูเลียน่าตัวจริงด้วย “จูเลียน่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจเพราะเธออ่อนแอและเปราะบางในบางครั้ง แต่ก็เข้มแข็งและเป็นตัวของตัวเองในเวลาเดียวกัน” ดาเวอร์นาสกล่าว “การได้พูดคุยกับเธอถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นถือเป็นประโยชน์มาก แต่ฉันก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะที่ต้องคุยกับผู้หญิงที่ฉันไม่รู้จัก และต้องถามเรื่องส่วนตัวของเธอ ฉันดีใจมากที่เธอเต็มใจให้ความช่วยเหลือและพูดเปิดอกกับฉัน”
ออกแบบงานสร้าง และ สถานที่ถ่ายทำ
Breach เปิดกล้องที่โตรอนโตและถ่ายทำตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2005 ถึงสิ้นเดือนมกราคม 2006 ฉากภายในหลายฉากถ่ายทำที่ Toronto Film Studio ในเมืองออนตาริโอ และเมื่อปลายเดือนมกราคม ทีมงานก็ยกกองไปวอชิงตันดีซีเพื่อถ่ายทำฉากภายนอกและฉากภายในที่ต้องถ่ายที่นี่เท่านั้น
“เหตุผลที่ต้องมาถ่ายทำที่วอชิงตัน ดีซี ก็เพราะมีสถานที่สำคัญหลายแห่งที่ทำเลียนแบบขึ้นมาไม่ได้” ผู้กำกับเรย์กล่าว “เช่นอาคารเอฟบีไอ, กระทรวงยุติธรรม, แม่น้ำโพโตแมค และอนุสาวรีย์ประธานาธิบดีลินคอล์น” แม้สภาพอากาศช่วงเดือนกุมภาพันธ์จะไม่แน่นอน แต่ผู้กำกับเรย์ก็ยืนยันจะถ่ายทำในช่วงเดือนเดียวกับเหตุการณ์จริง
“ในภาพยนตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์จริงและบุคคลจริง ผู้สร้างควรจะให้เกียรติแก่นเรื่องและความเป็นจริงของโลกนั้น” ผู้อำนวยการสร้าง ไวน์ โธมัส กล่าว
ทางด้านเอฟบีไอเองก็ให้ความร่วมมือกับทีมงานเป็นอย่างดีในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับแฮนส์เซ่นและโอนีล ที่สำคัญ แม้อาคารสำนักงานของเอฟบีไอจะห้ามคนนอกเข้า แต่ทีมงานก็ได้รับเกียรติให้เข้าไปบริเวณสำคัญภายในตึก รวมทั้ง เอฟบีไอพลาซ่า (โถงกลางภายในตึกเอฟบีไอฮูเวอร์) และล็อบบี้ฮูเวอร์ที่ไม่เคยอนุญาตให้กองถ่ายไหนเข้าไปถ่ายทำ
ยกตัวอย่างเช่น ฉากวันแรกที่โอนีลเข้ามาทำงานในสำนักงานใหญ่ของเอฟบีไอ, วันแรกที่เขาต้องทำงานกับแฮนส์เซ่น และวันแรกที่เขาต้องไปรายงานตัวที่ห้อง 9930 “คุณสร้างตึกเลียนแบบตึกเอฟบีไอไม่ได้หรอก” ผู้กำกับเรย์กล่าว “มันเป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะตัว ด้านหนึ่งมี 7 ชั้น อีกด้านหนึ่งมี 11 ชั้น มันถูกออกแบบเพื่อให้คนหลงทาง วันแรกที่โอนีลไปทำงาน เขาก็หลง ซึ่งเราใส่รายละเอียดตรงนี้เข้าไปในหนังด้วย”
เอฟบีไอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มเปิดกล้อง ซูซาน แมคคี และ เดบรา เวียร์แมน ทีมประชาสัมพันธ์ของเอฟบีไอได้พาทีมงานเดินสำรวจตึกเอฟบีไอและสำนักงานภาคสนามวอชิงตัน เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นในสถานที่สองแห่งนี้เป็นส่วนใหญ่ การเข้าไปสำรวจจึงจำเป็นสำหรับผู้อำนวยการสร้างโธมัสและลูกทีมของเขา เพราะมันเอื้อให้เขาสามารถออกแบบและจำลองสถานที่ถ่ายทำได้อย่างถูกต้อง
ทีมงานของโธมัสได้รับอนุญาตให้เก็บรายละเอียดและก๊อปปี้ป้ายสัญลักษณ์ทุกป้าย, ป้ายชื่อทุกแผ่น และอื่นๆไล่มากระทั่งโปสเตอร์หนังเอฟบีไอเก่าๆที่ติดไว้ในโรงอาหาร “ฉากเราเหมือนของจริงเป๊ะ” ผู้กำกับเรย์ภูมิใจเสนอ “ไวน์เนรมิตได้ทั้งฉากโทรมซกมกไปจนถึงฉากโอ่อ่าตระการตา เขารู้ดีว่าความสมจริงจำเป็นต่อหนังมากแค่ไหน มันน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นว่าเอริค โอนีล เองก็ทึ่ง ตอนที่เขามาเยี่ยมกองถ่าย เขาเดินไปตามโถงเอฟบีไอและเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง และอึ้งกับความสมจริงที่ทีมงานสร้างขึ้น”
โธมัสยังทำงานใกล้ชิดกับผู้กำกับภาพ ทัค ฟูจิโมโต้ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลูอิส ซีเควเรีย ด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าโทนสีของแสงที่เลือกใช้เข้ากับโทนสีของเสื้อผ้า “บิลลี่ (ผู้กำกับ) ต้องการคนที่สามารถสร้างบรรยากาศแบบหนังสตูดิโออเมริกันยุค 70 ได้ และผมไม่เห็นใครเหมาะกว่าทัค” ผู้อำนวยการสร้างโธมัสกล่าว
ในฉากจับกุมแฮนส์เซ่นซึ่งเกิดขึ้นจริงในปี 2001 ที่แฟร์เวย์ไดรฟ์ ในเวียนนา รัฐเวอร์จิเนีย ใกล้บ้านของเขาที่เทลส์แมนไดรฟ์ เรย์ยืนยันจะถ่ายฉากนี้ที่สถานที่จริง “ผมสู้ยิบตาเพื่อให้ได้ถ่ายที่นั่น เล่นเอาสะบักสะบอมเลยล่ะ เพราะค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำรอบๆดีซีแพงมาก แต่ผมไม่ยอมถ่ายที่อื่นหรอก”
เพื่อช่วยให้ทีมงานสร้างฉากจับกุมได้อย่างถูกต้อง เอฟบีไอได้ส่งเทปการจับกุมของจริงมาให้ทีมงานดู และยังส่งเจ้าหน้า 2 คนที่อยู่ในทีมบุกจับแฮนส์เซ่นมาให้ข้อมูลแก่นักแสดงและทีมงานด้วย เพื่อให้รายละเอียดทุกท่วงท่าออกมาถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าแม้แต่ท่าใส่กุญแจมือแฮนส์เซ่นก็ยังไม่ผิดเพี้ยน
ฉากกลางแจ้งอีกฉากหนึ่งที่ทรงพลังถ่ายทำที่โพโตแมคพาร์คเวย์โดยมีฉากหลังเป็นอนุสาวรีย์ลินคอล์น เป็นฉากที่โอนีลอยู่ในรถกับแฮนส์เซ่นและถ่วงเวลาเขาไว้หลายชั่วโมงเพื่อให้เอฟบีไอตามหารถเขาเจอ โอนีลออกอุบายให้เลือกใช้ทางรถติด แต่แฮนส์เซ่นก็ตัดสินใจลงจากรถแล้วเดินกลับสำนักงาน โอนีลจึงต้องคิดให้ออกในตอนนั้นว่าควรทำอย่างไรเพื่อจะหยุดเขา
คูเปอร์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าอยู่ในสถานที่และฉากที่สมจริงมากๆ มันจะส่งผลต่อการแสดงของคุณ เมื่อคุณเดินข้ามสะพานที่ผู้ชายคนนี้ขายความลับให้โซเวียต มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย”
ขณะที่ไม่มีใครเข้าใจชัดแจ้งว่าเหตุใดแฮนส์เซ่นจึงทำอย่างที่เขาทำ อาจเป็นเพราะความแค้น เจตนาร้าย หรือเพราะมองเห็นช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัย แต่ทุกวันนี้รัฐบาลอเมริกันก็ยังคงต้องประคับประคองบ้านเมืองไม่ให้ซวนเซทั้งทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรมจากการทรยศของเขา
อาชญากรรมที่แฮนส์เซ่นกระทำต่ออเมริกา มีคนกว่า 500 คนร่วมมือกันจับเขาดำเนินคดี การดำเนินการจับกุมครั้งนั้นเป็นไปอย่างไร้รอยรั่วเพื่อไม่ให้แฮนส์เซ่นรู้ตัวและดิ้นหลุด ซึ่งต้องชื่นชมความอุทิศตนของเจ้าหน้าที่ทุกคน และสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องยกความดีให้กับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ผู้กำกับและมือเขียนบท บิลลี่ เรย์ กล่าวทิ้งท้ายเพื่อชื่นชมและขอบคุณเอฟบีไอว่า “เอฟบีไอดีกับเรามาก พวกเขาช่วยเหลือเราตั้งแต่ขั้นเตรียมงาน กระทั่งตลอดการถ่ายทำ พวกเขาประหม่านิดหน่อยว่าเราจะเล่าส่วนไหนของเรื่อง ซึ่งสิ่งที่เราจะเล่าคือตอนที่แฮนส์เซ่นถูกจับ เอฟบีไอเหมือนวีรบุรุษ พวกเขาทำงานอย่างมืออาชีพและมีประสิทธิภาพมากตลอดการถ่ายทำ”
นักแสดง
คริส คูเปอร์ รับบท โรเบิร์ท แฮนส์เซ่น
ผลงาน >> Adaptation, Capote, Jarhead, Syriana, Seabiscuit, The Bourne Identity, The Bourne Supremacy, The Patriot, Me Myself and Irene, American Beautiful, October Sky, A Time to Kill
รางวัล
- ได้รับรางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Adaptation
- เข้าชิงรางวัลสมาคมนักแสดงสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Seabiscuit
- ได้รับรางวัลสมาคมนักแสดงสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก American Beauty
- เข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award สานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก October Sky
ไรอัน ฟิลิปเป้ รับบท อีริค โอนีล
ผลงาน >> I Know What You Did Last Summer, Cruel Intention, Gosford Park, Crash, Flags of Fathers
ลอว์ร่า ลินนี่ย์ รับบท เคท เบอร์โรส์
ผลงาน >> You Can Count on Me, Kinsey, The Squid and the Whale, Love Actually, Mystic River, Absolute Power, The Truman Show, The Exorcism of Emily Rose
รางวัล
- เข้าชิงรางวัลออสการ์, รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลสมาคมนักแสดง และรางวัล Independent Spirit Award สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก You Can Count on Me
- ได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์นิวยอร์กสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก You Can Count on Me
- ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก The Squid and the Whale
- เข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Kinsey
แคโรลีน ดาเวอร์นาส รับบท จูเลี่ยน โอนีล
ผลงาน >> Hollywoodland, The Tulse Luper Suitcases
แคทเธอรีน ควินแลนด์ รับบท บอนนี่ แฮนส์เซ่น
ผลงาน >> A Civil Action, Apollo 13
รางวัล >> เข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Apollo 13
ทีมสร้าง
บิลลี่ เรย์ — กำกับ / เขียนบท
ผลงาน >> กำกับและเขียนบท Shattered Glass, เขียนบท Hart’s War, Flight plan
บ๊อบบี้ นิวไมเยอร์ — อำนวยการสร้าง
ผลงาน >> Training Day, Addicted to Love, The Santa Clause, Don Juan DeMarco
สก๊อตต์ สตรอสส์ — อำนวยการสร้าง
ผลงาน >> A Perfect Murder, U.S. Marshall, Devil’s Advocate, Ali
สก๊อตต์ ครูพฟ์ — อำนวยการสร้าง
ผลงาน >> Terminator 3, Adaptation, The Quiet American, The Wedding Planner, Iris, Sliding Doors, Zathura: A Space Adventure, The Last Samurai, Stand By Me
ทัค ฟูจิโมโตะ — กำกับภาพ
ผลงาน >> The Silence of the Lambs, Philadelphia, Gladiator, The Sixth Sense
ไวน์ โธมัส — ออกแบบงานสร้าง
ผลงาน >> Cinderella Man, A Beautiful Mind, Inside Man, Analyze This

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๕:๓๕ เดอะมอลล์ กรุ๊ป จับมือ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดตัว Cross-Border QR Payment
๑๕:๔๓ บางกอกแลนด์ เปิดตัว ล้งทุเรียน @ตลาดสดรวมใจ เมืองทองธานี ศูนย์จำหน่ายทุเรียนส่ง-ปลีกแห่งแรกในจ.นนทบุรี
๑๕:๑๓ ก้าวสู่ปีที่ 17 อาเวอรี่ แอนด์ โค สุดยอดเอเจนซี่หนึ่งในผู้บุกเบิกการสร้าง Branding ของเมืองไทย
๑๕:๔๓ แสนสิริ ครองเจ้าตลาดบ้านและทาวน์โฮมทำเลราชพฤกษ์ ครอบคลุมตลอดเส้น พร้อมเคาะราคาใหม่ยกโซน ลดสูงสุด 3 ลบ.*
๑๕:๔๓ Levi's(R) และ ERL กับคอลแลปคอลเลกชันครั้งที่ 2 วางจำหน่าย 9 พฤษภาคม นี้
๑๕:๑๗ ณัฐ ยนตรรักษ์ ศิลปินไทยคนแรกที่ได้รับมอบเหรียญอิสริยาภรณ์ Bene Merito จากสาธารณรัฐโปแลนด์
๑๕:๔๒ ศึกทัวร์นาเมนต์ ยู-16 และ ยู-18 'แอสเซทไวส์ สยามกีฬา คัพ 2024' เข้มข้นตอกย้ำกระแสความแรง
๑๕:๑๘ เคทีซีส่งมอบไฟล์หนังสือเรียน ภายใต้โครงการ พิมพ์ Prove เพื่อน้องผู้พิการทางสายตา
๑๕:๓๕ บัตรเครดิต กรุงศรี ชวนเที่ยว ช้อปรอบโลก ใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศ รับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 43,000 บาท
๑๕:๐๔ CMC เร่ง เดอะ เคลฟ ริเวอร์ไลน์ เจ้าพระยา - วงศ์สว่าง รับรู้รายได้ 1,200 ล้านบาท ก.ค. นี้