สรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์และการซื้อขายหลักทรัพย์เดือนพฤศจิกายน 2553

พุธ ๐๘ ธันวาคม ๒๐๑๐ ๑๖:๔๙
ในเดือนพฤศจิกายน 2553 ภาวะตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านดัชนีราคาและมูลค่าการซื้อขาย โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,005.12 จุด เพิ่มขึ้น 2.10% จากสิ้นเดือนก่อน ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาคซึ่งส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในเดือนนี้ ตามความกังวลของผู้ลงทุน เกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของจีน และปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง และมีส่วนทำให้ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนแรกด้วยมูลค่า 6,432.34 ล้านบาท หลังเป็นผู้ซื้อสุทธิติดต่อกัน 5 เดือน ขณะที่ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิรวม 9,923.17 ล้านบาท สำหรับมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 42,266.40 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เริ่มเปิดการซื้อขาย เช่นเดียวกับตลาดอนุพันธ์ที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 25,450 สัญญา ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดอนุพันธ์เริ่มเปิดการซื้อขาย ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 8,215,638 ล้านบาท ขณะที่บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในรูปตราสารทุนรวม 3,164.93 ล้านบาท

ในเดือนพฤศจิกายน 2553 เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาคชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลของผู้ลงทุนต่างประเทศเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของจีน และปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด โดยในตลาดที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 ลำดับแรกของภูมิภาคนับตั้งแต่สิ้นปี 2552 ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ ผู้ลงทุนต่างประเทศได้ขายทำกำไรและเป็นผู้ขายสุทธิในเดือนนี้

อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2553 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปิดที่ระดับ 1,005.12 จุด เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบกับดัชนี ณ สิ้นเดือนก่อน ส่งผลให้ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 36.84% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2552 โดยในเดือนนี้ ดัชนีหลักทรัพย์รายอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ทั้งนี้กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมยังคงเป็นกลุ่มที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 โดยในเดือนนี้ปรับเพิ่มขึ้น 22.22% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และ 133.14% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทำให้อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นคาดการณ์ (Forward P/E Ratio) ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2553 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 14.14 เท่า สวนทางกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค รวมทั้งส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวมของทั้ง SET และ mai อยู่ที่ 8,215,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 38.96% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552

มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันของ SET และ mai ในเดือนพฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ 42,266.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.35% จากเดือนตุลาคม 2553 ทำสถิติมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เริ่มเปิดการซื้อขาย นับเป็นการทำสถิติใหม่ภายในปีนี้ หลังจากทำสถิติสูงสุดในเดือนกันยายน 2553 ที่ผ่านมาที่ 40,790.73 ล้านบาท ผู้ลงทุนบุคคลมีสัดส่วนการซื้อขายสูงสุดที่ 66.30% ของมูลค่าซื้อขายรวม ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงเหลือ 14.90% จาก 17.59% ในเดือนก่อน หากพิจารณาการซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2553 ผู้ลงทุนให้ความสนใจซื้อขายหลักทรัพย์ในหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์มากขึ้น ขณะที่ให้ความสนใจซื้อขายหลักทรัพย์ในหมวดธนาคาร และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ลดลงต่อเนื่องจากเดือนกันยายน 2553 หากพิจารณาสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มหลักทรัพย์ตามราคาตลาด พบว่าผู้ลงทุนยังคงสนใจซื้อขายหลักทรัพย์ขนาดเล็กในกลุ่ม Non-SET50 โดยมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ถึง 33.78% ของมูลค่าการซื้อขายรวม

ด้านจำนวนบัญชีที่มีการซื้อขายในเดือนตุลาคม 2553 มีทั้งสิ้น 168,323 บัญชี ลดลง 5.44% จากเดือนกันยายน 2553 แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 15.51% จากเดือนตุลาคม 2552 ขณะที่มูลค่าซื้อขายต่อบัญชีที่มีการซื้อขายก็มีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4.10 ล้านบาทในเดือนตุลาคม 2553 จาก 5.04 ล้านบาทในเดือนกันยายน 2553 นอกจากนี้ การซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตต่อมูลค่าการซื้อขายรวมในเดือนตุลาคม 2553 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26.23% เพิ่มขึ้นจาก 25.94% ในเดือนกันยายน 2553 แม้จำนวนบัญชีอินเทอร์เน็ตที่มีการซื้อขายทั้งสิ้น 70,576 บัญชี ลดลงจากเดือนก่อน 3.21% แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 34.87% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน

ในเดือนพฤศจิกายน 2553 ตลาดอนุพันธ์ที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 25,450 สัญญา ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดอนุพันธ์เริ่มเปิดการซื้อขาย โดยเพิ่มขึ้น 8.94 %จากเดือนที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 52.68% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ตลาดอนุพันธ์ได้เริ่มซื้อขายฟิวเจอร์สของดอกเบี้ยระยะสั้น (Short-Term Interest Rate Futures) เพิ่มอีก 2 ประเภท ได้แก่ ฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย BIBOR ประเภท 3 เดือน (3-Month BIBOR Futures) และฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย THBFIX ประเภท 6 เดือน (6-Month THBFIX Futures)

ภาวะเศรษฐกิจและภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการระดมทุนต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน 2553 บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในรูปตราสารทุนรวม 3,164.93 ล้านบาททำให้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2553 มีมูลค่าการระดมทุนรวม 84,817.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157.13% จากมูลค่าการระดมทุนในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ 32,986.50 ล้านบาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๐:๕๙ อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม VICHY LIFTACTIV BRAND PARTNER ตัวแทนประเทศไทย ร่วมงาน 'V.I.C VICHY INTEGRATIVE CENTER' อีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ของแบรนด์ VICHY (วิชี่) อวดลุคเซ็กซี่สุดฮอต สวย ปัง
๒๖ เม.ย. ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๒๖ เม.ย. NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๒๖ เม.ย. แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๒๖ เม.ย. แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๒๖ เม.ย. RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๒๖ เม.ย. ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๒๖ เม.ย. เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๒๖ เม.ย. ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๒๖ เม.ย. ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud