กลุ่มผู้ถือหุ้นในบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC ต้องออกแรงเข้าร่วมประชุมวิสามัญผุ้ถือหุ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 14 ก.พ. ที่จะถึงนี้ หลังจากครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ม.ค. การประชุมวาระ 3 เรื่องการแต่งตั้งกรรมการใหม่ไม่ผ่านมติที่ประชุม
ย้อนไปดูการประชุมครั้งแรก มีผู้เข้าร่วมประชุม 1,155 ราย จำนวนหุ้นทั้งสิ้น 913.30 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 46.03 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งหากลงลึกในรายชื่อผู้ถือหุ้น IFEC ทั้งหมดจะพบว่า มีผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น 27,861 ราย และผู้ถือหุ้นรายย่อยคิดเป็นสัดส่วนถึง 88.61 %
เมื่อพิจารณาผู้เข้าร่วมประชุมครั้งแรก และลงมติในวาระ 3 จะพบว่า กลุ่มผู้ถือครองหุ้นน้อยกว่า 1 แสนหุ้น ลงคะแนนรับรองวาระ 3 ที่หมอวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ เสนอรายชื่อกรรมการใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 531 ราย หรือเกือบครั้งหนึ่งของผู้ร่วมประชุม ส่วนที่ไม่รับรองมีจำนวน 212 ราย
ผู้ถือครองหุ้นตั้งแต่ 1 แสน-1 ล้านหุ้น รองรองมติวาระ 3 จำนวน 173 ราย และไม่รับรอง 119 ราย ขณะที่ผู้ถือครองหุ้นตั้งแต่ 1 ล้าน-50 ล้านหุ้น รับรองวาระ 3 จำนวน 36 ราย และไม่รับรอง 46 ราย ส่วนผู้ถือครองหุ้นมากกว่า 50 ล้านหุ้น มี 2 รายที่รับรองวาระ 3 และอีก 2 รายไม่รับรอง
ดังนั้นจะเห็นภาพ ว่าการประชุมครั้งที่ผ่านมา หมอวิชัย สามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยได้มากกว่า กลุ่มนายทวิช เตชะนาวากุล กลุ่มทุนใหม่ ซึ่งมีนายสินทธิชัย พรทรัพย์อนันต์ อดีตผู้บริหาร IFEC สนับสนุนอยู่ โดยหมอวิชัยกลุ่มเสียงกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ครองหุ้นต่ำกว่า 1 แสนหุ้น - 1 ล้านหุ้น ขณะที่กลุ่มนายทวิช มีเสียงส่วนใหญ่อยู่ที่กลุ่มผู้ถือครองหุ้นระดับ 1-50 ล้านหุ้น
ตามที่ระบุไว้ข้างต้นว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใน IFEC กว่า 88 % เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย ดังนั้นประเมินได้ว่า หากในการประชุมวิสามัญครั้งที่ 2 หากบรรดารายย่อยแห่เข้าร่วมประชุมมากขึ้น โอกาสที่หมอวิชัย จะรักษาอำนาจในการบริหารต่อไปจึงมีสูงมาก
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า กลุ่มตรงข้ามหมอวิชัย น่าจะรู้ถึงประเด็นนี้เช่นกัน จึงโจมตีหมอวิชัย ในประเด็นบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ตั๋วบี/อี ได้ โดยเบี่ยงเบนรากเง้าของปัญหาที่แท้จริงนั้น เกิดจาก นายสิทธิชัย และพวก ยกโขยงลาออก หลังจากที่หมอวิชัย ตรวจสอบความไม่โปร่งใสของบริษัท จนเป็นผลให้กรรมการไม่เพียงพอที่จะมีมติดำเนินธุรกรรมต่างๆ
ขณะที่หมอวิชัย ก็พยายามอย่างหนักในการแก้ปัญหาหนี้ จะเห็นได้จากการใช้เงินส่วนตัวสมทบคืนหนี้ตั๋วบี/อี ก้อนแรก และล่าสุดเข้าหา ก.ล.ต. ให้เรียกนายสิทธิชัย มาเซ็นเช็คร่วมกับตนเอง เพื่อชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้มูลค่า 35 ล้าน พร้อมให้นายสิทธิชัยเซ็นใบลาออกจากบริษัทลูกให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่านายสิทธิชัยจะไม่ยอมลาออกจากบริษัทที่เกี่ยวพันกับโรงแรมดาราเทวี ก็ตาม
นอกจากนี้หมอวิชัย ยังชูนโยบายปราบโกงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดนี้น่าจะถูกใจบรรดากลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนไม่น้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า อาจมีรายย่อยบางส่วนที่มองผลประโยชน์จากราคาหุ้นระยะสั้น ซึ่งกลุ่มนายทวิช เชื่อว่ามีจำนวนมาก จึงโจมตีหมอวิชัยและชูตัวเองว่า จะขนเงินมาแก้หนี้ทั้งหมด แล้วหุ้นจะขึ้นเอง
ด้านหมอวิชัย ก็รู้ว่านายทวิชจะเล่นไม้นี้ จึงยืนยันมาตลอดว่า ตอนนี้มีกลุ่มทุนที่พร้อมจะร่วมทุน และซื้อโรงแรมดาราเทวี ปัญหาหนี้ก็จบ ขณะเดียวกันก็ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินจากธุรกิจพลังงาน ผนวกกับเอาคนโกงมารับผิด ล้างบ้านให้สะอาด ราคาหุ้นก็จะขึ้นอย่างยั้งยืน
ไม่ว่าสถานการณ์ในวันที่ 14 ก.พ. จะเป็นเช่นไร สิ่งที่แน่ยิ่งกว่าแน่คือ ผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นผู้ที่จะตัดสินอนาคต IFEC และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ กรณีนี้หากการตรวจสอบความไม่โปร่งใสในการบริหารงานสิ้นสุด และมีความผิดจริง จะเป็นตัวอย่างให้บรรดาผีดูดเลือดในตลาดหุ้น ต้องหนาวๆร้อนๆ กันเป็นแน่แท้