ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เซ็ท อินเด็กซ์ ฟันด์ (SCBSET) เป็นกองทุนประเภท Passive ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นกองทุนเพียงกองเดียวในประเทศไทย ที่มีนโยบายลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ SET Index มากที่สุด สำหรับการลงทุนในกองทุนนี้จึงเปรียบเสมือนได้ลงทุนในหุ้นบริษัทมหาชนทุกบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้กองทุนมีความเสี่ยงที่เกิดจากหุ้นรายตัวต่ำกว่า ในขณะเดียวกันผลตอบแทนของกองทุนก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทย ซึ่งจากสถิติในระยะยาวตลอด 20 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 10.1% ต่อปี นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมากองทุนยังมีขนาดเติบโตขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 8,700 ล้านบาท มาเป็นกว่า 15,000 ล้านบาทในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่ากองทุนได้รับความนิยมสูงเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงช่องทางการลงทุนได้ง่ายขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนมากที่สุด โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 12.50% (ข้อมูล ณ 22 กรกฎาคม 2562) นอกจากนี้กองทุนดังกล่าวยังได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ปี 2015 และปี2013 ประเภทประเภทกองทุนตราสารทุนทั่วไป จาก Money & Banking Awards ซึ่งจัดโดยวารสารการเงินธนาคารอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) จัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ และมีผลดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 มีการจ่ายปันผลแล้ว 16 ครั้ง รวม 7.16 บาทต่อหน่วย มีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach โดยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น ซึ่งจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้น และกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูงได้ ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 11.43% (ข้อมูล ณ22 กรกฎาคม 2562) นอกจากนี้กองทุนดังกล่าวยังได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2017 ประเภทกองทุนตราสารทุนทั่วไป จาก Money & Banking Awards ด้วยเช่นกัน
บริษัทฯ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยซึ่งทิศทางในครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกจากการที่ธนาคารกลางมีมุมมองของการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น (Dovish) จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยคาดธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในประชุมวันที่ 30 - 31 ก.ค. นี้ นอกจากนี้ตลาดยังมองว่าปีนี้อาจลดดอกเบี้ย 1 - 2 ครั้ง ซึ่งส่งผลต่อเงินทุนที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากการประเมินมูลค่ามีความน่าสนใจจาก Earnings Yield gap (ผลตอบแทน ณ ปัจจุบันของตลาดหุ้น ลบด้วยผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ซึ่งส่วนใหญ่จะอายุ 10 ปี) ปรับตัวกว้างมากขึ้น ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันน่าจะอยู่ในระดับสูงได้จากการที่สหรัฐฯ ได้ทำการแทรกแซงการรับซื้อน้ำมันจากประเทศอิหร่านและการลดกำลังการผลิตของ OPEC ในครึ่งปีหลังกดดันอุปทานในภาพรวม
ส่วนภายในประเทศแนวโน้มการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่อย่างเป็นทางการ คาดว่าจะเห็นนโยบายต่างๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยฟื้นภาพเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอในช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดนโยบายการกระตุ้นการบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังคงเป็นแผนหลักในการช่วยพยุงตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) รวมทั้งการพยายามฟื้นราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง ให้สูงขึ้นซึ่งถือเป็นผลบวกต่อรายได้เกษตรกร นอกจากนี้ยังคาดโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ค้างอยู่จะทยอยออกมาต่อเนื่อง ตลอดจนการสานต่อโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการ ได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6ห รือผู้สนับสนุนการขายทุกราย