นายเจเรมี เบิร์ด ซีอีโอคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กล่าวว่า จากการขยายตัวด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อลุ่มแม่น้ำโขงในหลากหลายมิติ ทั้ง ด้านอุทกวิทยา สิ่งแวดล้อม การประมง การเกษตร และการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ
“ความท้าท้ายที่ผู้คนในภูมิภาคนี้จะต้องเผชิญ จะเพิ่มมากขึ้นและแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ อาทิ ปริมาณฝนที่เปลี่ยนแปลงในลุ่มน้ำ ซึ่งมีผลต่อผลผลิตทางการเกษตรและการประมง ทั้งนี้ รัฐบาลลาวและเขมรควรมีมาตรการในการเตรียมรับมือกับภาวะน้ำท่วมที่จะเกิดบ่อยขึ้น รวมถึงการเตรียมความพร้อมจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล” ซีอีโอคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กล่าวและว่า
อย่างไรก็ตาม หากสามารถเข้าใจถึงปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง ก็จะสามารถวิเคราะห์ผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และผู้คนในภูมิภาคนี้ได้ดีขึ้น ซึ่งหมายถึงการนำไปสู่ยุทธศาสตร์การปรับตัวต่อโลกร้อนที่ดีสำหรับประเทศในลุ่มน้ำโขง โดยการตัดสินใจต่อเรื่องนี้ถือเป็นสิทธิขาดของแต่ละประเทศ
ด้าน ดร. ศิริพงษ์ หังสพฤกษ์ สมาชิกกรรมาธิการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ของประเทศไทย และอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า ผลจากการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พบว่า การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการแปรปรวนในธรรมชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลดลงของปริมาณน้ำฝนในฤดูแล้งและการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำฝนในฤดูฝน ซึ่งจะเพิ่มวิกฤตขาดน้ำในฤดูแล้งและอุทกภัยในฤดูฝน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบ่อยขึ้นและแต่ละครั้งรุนแรงหนักขึ้น
“ผลกระทบจากโลกร้อนจะเกิดขึ้นครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำโขงในรูปแบบและลักษณะแตกต่างกัน ปริมาณน้ำฝนมีแนวโน้มลดลงในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบน แต่ในบางพื้นที่ของลุ่มน้ำโขงตอนล่างปริมาณน้ำฝนกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รูปแบบของฤดูกาลในลุ่มน้ำโดยรวมจะเปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม จากความร่วมมือภายใต้การริเริ่มของคณะกรรมการแม่น้ำโขง ซึ่งจะดำเนินการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี ในระยะเริ่มต้น เราหวังจะให้เป็นทางออกที่สามารถปฏิบัติได้จริงในแต่ละประเทศ โดยความร่วมมือที่ริเริ่มนี้ จะทำให้ทั้ง 4 ประเทศมีองค์ความรู้ เครื่องมือและขีดความสามารถที่ดีขึ้น ที่จะเตรียมรับมือ ตั้งรับ และปรับตัวกับภาวะโลกร้อนในอนาคต”ดร. ศิริพงษ์กล่าว
ข้อมูลเพิ่มติด ติดต่อ
วิเทศ ศรีเนตร
+85621 263 ext 2422