นายดนัย เอกกมล ผู้อำนวยการสำนักกำกับและอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์พลังงานของประเทศในปัจจุบันมีความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นตามความเติบโตของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของประชากร ประกอบกับความสามารถในการจัดหาพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการใช้พลังงานในทุกภาคส่วนของประเทศ เริ่มมีขีดจำกัดมากขึ้นด้วยปัจจัยด้านอุปทานโดยรวมที่ลดลงซึ่งส่งผลให้ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยต้องมีภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงในแต่ละปี และย่อมส่งผลกระทบต่อตุ้นทุนในการผลิตสินค้าและบริการของผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“จากแนวโน้มสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) ต้องเร่งหานโยบายและแนวทางเพื่อกำกับดูแลและส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในทุก ๆ สาขาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและประเทศ รวมถึงการจัดหาและพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนให้เพิ่มมากขึ้น โดยหนึ่งในแนวทางหลักที่ได้มีการดำเนินการเป็นรูปธรรมได้แก่ การจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงานระยะ 20 ปี (ปี 2554-2573) ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายให้มีค่าดัชนีการใช้พลังงานรวมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ณ ปี พ.ศ. 2573 ลดลงให้ได้ร้อยละ 25 และได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการต่างๆ ที่จะกำกับดูแลและส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอาคารธุรกิจ และภาคที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการใช้มืออาชีพและบริษัทจัดการพลังงาน หรือ ESCO เป็นทางเลือกใหม่ของการอนุรักษ์พลังงาน ที่ให้บริการแบบครบวงจรและเสริมสร้างผู้ประกอบการให้มีการใช้พลังงานอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด”
นายดนัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผ่านมา พพ. ได้มีการส่งเสริม ESCO ในหลาย ๆ รูปแบบทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อเป็นการสานต่อผลงานจากปีที่ผ่านมาจึงได้ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมฯ จัดงาน Thailand ESCO Fair 2013 เพื่อประชาสัมพันธ์ถึงนโยบายการสนับสนุนและส่งเสริมบริษัทจัดการพลังงาน ให้เกิดเป็นรูปธรรม จึงได้อนุมัติเงินทุน ESCO FUND จำนวน 500 ล้านบาท กระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น
ด้าน นายหิน นววงศ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม ในฐานะ ประธานคณะทำงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาการอนุรักษ์พลังงานโดยกลไกบริษัท กล่าวว่า การจัดงาน Thailand ESCO Fair 2013 ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่น และส่งเสริมให้สถานประกอบการที่มีความพร้อม และมีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน สามารถเลือกลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานได้อย่างเหมาะสม อีกทั้ง การจัดงาน “ESCO Business Matching” โดยความร่วมมือกับจังหวัดต่าง ๆ ตามภูมิภาค เป็นการส่งเสริม เผยแพร่ และกระจายความรู้ความเข้าใจของแนวคิดธุรกิจจัดการพลังงาน ให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการประหยัดพลังงานโดยกลไกบริษัทจัดการพลังงาน และสนใจที่จะลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานได้เจรจาด้านธุรกิจอนุรักษ์พลังงานโดยกลไกบริษัทจัดการพลังงานได้อย่างตรงตามเป้าหมายที่ผู้ประกอบการต้องการ
“สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักคือ นิทรรศการ การจัดสัมมนา และบูธของบริษัทจัดการพลังงาน ที่มุ่งเน้นเผยแพร่หลักของธุรกิจบริษัทจัดการพลังงานด้วยการแสดงผลงานความสำเร็จของโครงการต่าง ๆ ให้สถานประกอบการเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้บริการของบริษัทจัดการพลังงานอย่างแท้จริง อีกทั้งวิทยากรผู้ร่วมสัมมนาล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ตลอดจนมีประสบการณ์ จากสถานประกอบการที่ประสบความสำเร็จจากการอนุรักษ์พลังงานด้วยระบบ ESCOที่จะให้มุมมอง และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจต่อไป นายหิน กล่าว