ฟิทช์ปรับเพิ่มอันดับเครดิต TREIT เป็น A(tha) และนำออกจากเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวก

พฤหัส ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๘ ๑๖:๔๙
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัดประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศ สำหรับหนี้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกัน (National Senior Unsecured Rating) ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอนหรือ TREIT เป็น A(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ จาก A-(tha) อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการนำออกจากเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวก

การนำออกจากเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวก ซึ่งได้ประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2560 เป็นผลจากการแปลงสภาพของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการสนับสนุนสินทรัพย์หลักจากกลุ่มไทคอน ซึ่งได้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทคอน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทีพาร์คโลจิสติคส์ และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน อินดัสเทรียล โกรท มาเข้ากองทรัสต์ TREIT ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลจากการแปลงสภาพของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมาเข้ากองทรัสต์ TREIT ซึ่งทำให้ขนาดของกองทรัสต์ของ TREIT ใหญ่ขึ้นอย่างมากจนมีมูลค่ารวมมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท และมีการกระจายตัวของผู้เช่าที่ดีขึ้น ฟิทช์คาดว่า TREIT น่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับปานกลางได้โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อมูลค่าทรัพย์สินเพื่อการลงทุน อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 30 และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่ำกว่า 5 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ตามนโยบายทางการเงินและแผนการลงทุนของ TREIT

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

ขนาดกองทรัสต์ที่ใหญ่ขึ้นอย่างมาก: การลงทุนเพิ่มในทรัพย์สินมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 ทำให้กองทรัสต์ของ TREIT ขยายขนาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท จากเดิม 7.3 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 ทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมเป็นคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูปซึ่งมีคุณภาพคล้ายคลึงกับทรัพย์สินเดิมของ TREIT นอกจากนี้ TREIT มีแผนที่จะลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมอีก 3.9 พันล้านบาทในปี 2561 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินจากกลุ่มไทคอน TREIT คาดว่าจะลงทุนในทรัพย์สินใหม่อีกประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2563

การกระจายตัวของผู้เช่าที่ดีขึ้น: ขนาดกองทรัสต์ของ TREIT ที่ใหญ่ขึ้นทำให้มีการกระจายตัวของผู้เช่าที่ดีขึ้นโดยรายได้จากผู้เช่าที่มีสัดส่วนรายได้สูงที่สุด 10 รายแรกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 ของรายได้รวมจากเดิมที่ร้อยละ 50 การกระจายตัวของธุรกิจของผู้เช่าก็มีความสมดุลมากขึ้นโดยแบ่งเป็น ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ร้อยละ 22 ของรายได้รวม ธุรกิจยานยนต์ร้อยละ 28 ธุรกิจโลจิสติกส์ร้อยละ 21 และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีก ร้อยละ 10 นอกจากนี้ TREIT ยังมีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ที่สมดุลมากขึ้นในทำเลที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม 3 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกคิดเป็นร้อยละ 45 ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดของ TREIT พื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลคิดเป็นร้อยละ 29 และพื้นที่ภาคกลางบริเวณจังหวัดทางเหนือของกรุงเทพมหานครคิดเป็นร้อยละ 27

อัตราส่วนหนี้สินที่เพิ่มขึ้น: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ TREIT ซึ่งวัดจากหนี้สินสุทธิต่อมูลค่าทรัพย์สินเพื่อการลงทุนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 30 ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14 ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ต่างจากที่ฟิทช์ได้เคยคาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจาก TREIT ยังคงมีนโยบายทางการเงินที่จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวมไม่เกินร้อยละ 30 ซึ่งนโยบายดังกล่าวน่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่วัดโดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ในช่วง 4.6 เท่าถึง 4.8 เท่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ความเสี่ยงในการ Refinancing อยู่ในระดับต่ำ: ฟิทช์มองว่าความเสี่ยงในการ Refinancing ของ TREIT อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีทรัพย์สินปลอดหลักประกันจำนวนมากและมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อมูลค่าทรัพย์สินเพื่อการลงทุนอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 14-15 ณ สิ้นปี 2560 TREIT มีแผนที่จะชำระเงินกู้ระยะสั้นที่มีหลักประกันจำนวน 3.7 พันล้านซึ่งจะครบกำหนดชำระภายใน 6 เดือนข้างหน้าในช่วงกลางปี 2561 โดยการออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันที่มีระยะเวลาชำระคืนหนี้เฉลี่ยประมาณ 4-4.5 ปี เงินกู้ระยะสั้นดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนที่ใช้เพื่อการซื้อทรัพย์สินในปี 2560

อสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ: ทรัพย์สินของ TREIT ส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาจากกลุ่มไทคอน ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมสมัยใหม่ชั้นนำของประเทศไทย โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่ จะเป็นคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูปสมัยใหม่ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจ อัตราการต่ออายุสัญญาเช่าอยู่ในระดับร้อยละ 85-90 โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยที่ประมาณร้อยละ 80 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ฟิทช์คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่ของกองทรัสต์ที่ได้ขยายขนาดมากขึ้นก็น่าจะยังอยู่ที่ประมาณร้อยละ 80 ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

TREIT เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่ได้มาจากกลุ่มไทคอน ปัจจุบันกองทรัสต์ของ TREIT มีขนาดใหญ่กว่าและมีการกระจายตัวของผู้เช่าที่ดีกว่า บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF (BBB(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาและบริหารศูนย์การค้าขนาดกลางภายใต้แนวความคิดศูนย์การค้าชุมชนในประเทศไทย เป็นอย่างมาก TREIT มีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญที่ ร้อยละ 75-80 เทียบกับร้อยละ 40-45 ของ SF นอกจากนี้ SF ยังมีความเสี่ยงจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยตนเอง และ TREIT มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า SF อีกด้วย ดังนั้น TREIT จึงมีอันดับเครดิตที่สูงกว่า SF

TREIT มีขนาดและความสม่ำเสมอของกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ใกล้เคียงกับ 2 บริษัทที่เป็นธุรกิจสัมปทานซึ่งได้แก่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS (A+(tha)/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSG (A-(tha)/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ในกรุงเทพมหานคร โดยทั้ง 3 บริษัท อยู่ในธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินของ TREIT มีสภาพคล่องสูงกว่าอีก 2 บริษัท เนื่องจากเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบมาตรฐานทั่วไป ในขณะที่ทรัพย์สินของ BAFS และ BTSG เป็นทรัพย์สินเฉพาะทางสำหรับธุรกิจที่บริษัทดำเนินงานอยู่ และมีบางส่วนเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตน

อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ แต่น่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าของ TREIT ดังนั้น BAFS จึงมีอันดับเครดิตที่สูงกว่า TREIT ในขณะที่ BTSG มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า TREIT เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการลงทุนขนาดใหญ่ ดังนั้น BTSG จึงมีอันดับเครดิตที่ต่ำกว่า TREIT

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

- การลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจำนวน 3.9 พันล้านบาทในปี 2561 โดยใช้แหล่งเงินทุนจากการก่อหนี้ร้อยละ 90 และการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจำนวน 3 พันล้านบาทในปี 2562 โดยใช้แหล่งเงินทุนจากการก่อหนี้ทั้งจำนวน และอีก 3 พันล้านบาทปี 2563 โดยใช้แหล่งเงินทุนจากการก่อหนี้ร้อยละ 30-33 ของเงินลงทุน โดยไม่มีการออกหน่วยทรัสต์ใหม่ในปี 2561-2562

- อัตราการเช่าพื้นที่อยู่ที่ร้อยละ 80-82

- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 80 ในปี 2561-2563

- ไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนสำหรับการซ่อมแซมปรับปรุงขนาดใหญ่ และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2561-2563

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก:

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีความเป็นไปได้น้อย เว้นแต่

- อัตราการเช่าพื้นที่อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 90 อย่างต่อเนื่อง และ

- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อมูลค่าทรัพย์สินเพื่อการลงทุนอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 25 และ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยลบ:

- อัตราการเช่าพื้นที่อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 80 อย่างต่อเนื่อง

- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อมูลค่าทรัพย์สินเพื่อการลงทุนอยู่สูงกว่าร้อยละ 30 (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 20.8) อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) อยู่ในระดับสูงกว่า 5 เท่า (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ 3.5 เท่า) หรือ อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียนต่อดอกเบี้ยจ่ายและค่าเช่า (FFO Fixed Charge Coverage) อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ 9.3 เท่า) อย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่อง

สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี: ฟิทช์คาดว่า TREIT มีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการชำระดอกเบี้ยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA / Interest paid) ในระดับสูงกว่า 6 เท่า TREIT คาดว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมบำรุงจะอยู่ในระดับที่ต่ำมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า สภาพคล่องสำหรับการลงทุนใหม่น่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความสามารถในการเข้าสู่ตลาดทุนและตราสารหนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๔ พ.ค. Siriraj Education Expo 2024 ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับศิริราช พร้อมยกระดับทางการแพทย์ให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคน
๐๓ พ.ค. ครั้งแรก! งานเทศกาลคอนเทนต์ LGBTQ ฉลองความเท่าเทียมทางเพศ THAILAND INTERNATIONAL LGBTQ FILM TV FESTIVAL 2024 ปักหมุดเตรียมพบกัน กันยายนนี้
๐๓ พ.ค. โน วัน เอลส์ ส่ง 3 เพลงรัก 3 สไตล์! ผ่านมิวสิกซี่รีย์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น
๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง